ส่วนที่ 3 : ภาพระยะยาว
บทที่ 16 : การออกแบบ Portfolio
ผลตอบแทน
- อย่าคาดหวังสูง การคาดหวังจะทำเงินจากหุ้นในอัตราปีละ 25-30% ทุกปีนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะ ถ้าทบกันแบบนั้นไม่กี่ปี สุดท้ายคุณจะรวยกว่าหลายๆประเทศ แต่ก็ควรหวังผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในธนบัตร
- ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นในระยะยาวคือ 9-10% ต่อปี ซึ่งหากต้องการแค่ประมาณนี้ คุณสามารถเลือกลงทุนใน index fund ได้
- ดังนั้นการเลือกหุ้นเองนั้น ควรหวังผลประมาณ 12-15% ทบต้นไปเรื่อยๆ หลักจากหักต้นทุนและค่าคอมแล้ว
มีหุ้นกี่ตัวดีในportfolio
- ต้องเข้าใจก่อนว่า Diversification นั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องทำ เช่น หากมีหุ้นวิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว และมั่นใจในอนาคตบริษัทมากๆ การลงทุนหุ้นตัวเดียว เช่น Walmart ก็ดูเป็นอะไรที่ฉลาดหลักแหลม
- ไม่มีประโยชน์ใดๆที่จะกระจายการถือหุ้นไปบริษัทที่คุณไม่รู้จักดีพอ เพียงเพราะต้องการให้เกิดการกระจายความเสี่ยง
- แต่การถือหุ้นตัวเดียวนั้น แม้เราจะมั่นใจแค่ไหน มันก็เสี่ยงเกินไป เพราะมันอาจมีเหตุการไม่คาดคิดเกิดได้เสมอ และตัวเขาเองไม่เคยลงทุนในหุ้นโตเร็วเกิน 30-40% ของเงินในกองทุน
- อย่างไรก็ตาม Peter Lynch ก็เสนอว่าในพอร์ตขนาดเล็กนั้น ควรมีหุ้นประมาณ 3-10 ตัว มีข้อดีเช่น
- ยิ่งมีหุ้นมาก ยิ่งมีโอกาสได้เจอหุ้นสิบเด้ง ตัวที่ไปได้ไกลสุดมักเป็นตัวที่คุณไม่คาดคิด
- ยิ่งมีหุ้นมาก ก็จะมีความคล่องตัวในการสับเปลี่ยนเงินทุนระหว่างมัน
- ปกติ Peter lynch จะลงเงิน 30-40% ในหุ้นโตเร็ว 10-20% ในหุ้นแข็งแกร่ง 10-20% หุ้นวัฒจักร และที่เหลือในหุ้นฟื้นตัว และจะมีการสับเปลี่ยนเงินทุน เมื่อพบโอกาสในหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มอื่นๆ
Diversification
- การลดความเสี่ยงที่ดีที่สุดคือการศึกษาหุ้นให้รอบคอบ และซื้อมันในราคาที่เหมาะสม แต่การกระจายหุ้นไปหลายๆกลุ่มก็มีข้อดี เช่น
- หุ้นโตช้า ความเสี่ยงต่ำ กำไรต่ำ ราคาหุ้นจะต่ำๆไม่ไปไหน
- หุ้นแข็งแกร่ง ความเสี่ยงต่ำ กำไรพอสมควร ถ้ามันทำดี คุณอาจทำกำไรได้งดงาม แต่ถ้ามันผิดพลาด คุณก็จะขาดทุนไม่มาก
- หุ้นทรัพสิน ความเสี่ยงต่ำ กำไรสูง แต่คุณต้องมั่นใจในมูลค่าทรัพสินนั้นจริงๆ
- หุ้นวัฏจักร ความเสี่ยงต่ำ กำไรสูง (หรือตรงข้าม) ขึ้นอยู่กับความเก่งกาจในการดูวัฏจักร
- หุ้นโตเร็ว และฟื้นตัว เป็นกลุ่มที่มีโอกาสเป็นหุ้น 10 เด้งมากที่สุด เป็นกลุ่มความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง มันสามารถเปลี่ยนชีวิตคุณ และทำให้ชีวิตล่มจมได้เลย
- โดยทั่วๆไป อาจออกแบบพอร์ตให้มีหุ้นแข็งแกร่ง 2-3 ตัว เพื่อลดความผันผวน มีหุ้นโตเร็ว 4 ตัว หุ้นฟื้นตัวสัก 4 ตัว ที่สำคัญคือต้องซื้อในราคาที่เหมาะสมด้วย ถ้าซื่อแพงไป ผลตอบแทนก็ไม่เหลือ
รดน้ำวัชพืช
- Peter lynch บอกว่าเขาจะไม่เก็บเงินสดไว้เลย เพราะถือว่ามันเป็นการออกจากตลาดหุ้น แต่จะมีการสับเปลี่ยนหุ้นตามพื้นฐานของกิจการ
- หลายๆคนขายหุ้นที่ ชนะ และ ถือหุ้น แพ้ ซึ่งมันเหมือนกับการเด็ดดอกไม้และรดน้ำวัชพืช ส่วนการขายหุ้นแพ้ และเก็บหุ้นชนะแบบอัตโนมัติ ก็ไม่ได้ดีกว่ากัน เพราะการตัดสินใจลักษณะนี้เป็นการใช้ ราคาหุ้น มาตัดสินใจ แทนที่จะใช้คุณค่าของบริษัทมาคิด ราคาหุ้นในปัจจุบันไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับอนาคตของบริษัท และบางครั้งมันก็วิ่งไปตรงข้ามกับพื้นฐาน
- กลยุทธ์ที่ดีกว่าคือการสับเปลี่ยนหุ้นโดยดูว่า เรื่องราวของบริษัท และ ราคา นั้นมันเกี่ยวข้องกันยังไง
- หุ้นแข็งแกร่งมีราคาขึ้นมาถึง 40% และยังไม่มีเรื่องราวใดๆที่น่าจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ตัวเขาจะขายหุ้นนั้นออกมาแล้วเปลี่ยนมันไปในหุ้นแข็งแกร่งตัวอื่น (หรืออาจเลือกขายบางส่วน)
- กลยุทธ์สับเปลี่ยนหุ้นแบบนี้ ทำให้สามารถได้กำไรหลายๆเด้งได้ หุ้นที่กำไร 30% 6 ตัว จะได้ผลตอบแทน 4 เด้งกว่าๆ 1 ตัว และหุ้นกำไร 25% หกตัว จะได้หุ้น 4 เด้ง1 ตัว
- หุ้นโตเร็ว : Peter Lynch จะเก็บไว้ตราบเท่าที่กำไรยังโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุด และจะตรวจสอบ story ทุกๆ 2-3 เดือน หากมีหุ้นโตเร็ว 2 ตัว ตัวหนึ่งกำไรโต 50% แบบน่าสงสัย เขาก็จะขายมันออกและเอาไปซื้อหุ้นที่โตเร็วแต่ราคาลดลงหรือน่าสนใจกว่า
- หุ้นวัฏจักร และหุ้นฟื้นตัว : ถอนจากตัวที่พื้นฐานเลวลงแต่ราคาหุ้นขึ้น ไปเข้าตัวที่พื้นฐานดีขึ้นแต่ราคาดิ่งลง
- Peter Lunch เกลียดกลยุทธ์ Cut loss “ถ้าคุณไม่สามารถบอกตัวเองว่า หากหุ้นลง 15% จะซื้อเพิ่ม หรือ มีคติว่า หุ้นลง25% จะขาย คุณจะไม่มีวันทำกำไรได้ดีในหุ้น”
- การตัง cut loss อัตโนมัติ เช่นที่ 10% จะทำให้คุณพลาดโอกาสดีๆมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในตอนนั้นหุ้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่า คุณยังจะไม่ขายในราคาที่ต่ำลงไปอีก
- การ cut loss นั้นยัง paradox ในแง่ที่ว่า กว่าคุณจะซื้อหุ้นนั้นคุณต้องวิเคราะห์มาอย่างดี คุณต้องคิดมาแล้วว่าราคามันเหมาะสม แต่พอจะขาย กลับตั้งขายอัตโนมัติไว้ การขายหุ้นเพื่อ take profit อัตโนมัติก็เช่นเดียวกัน
บทที่ 17 : เวลาที่ดีที่สุดที่จะซื้อและขาย
เวลาซื้อหุ้น
- ทุกๆวันเป็นวันที่เหมาะในการซื้อหุ้น เมื่อหุ้นที่คุณพบนั้นอยู่ในราคาถูก แต่มีช่วงเวลาเฉพาะ 2 ช่วงที่คุณมีโอกาสได้หุ้นราคาถูกสุด
- ช่วงแรกคือตอนสิ้นปีภาษี เพราะสถาบันจะชอบกำจัดหุ้นที่ขาดทุนเพื่อที่พอร์ตจะได้ดูดีเวลาประเมินผลงาน (Window Dressing) ราคาหุ้นจะถูกขายกระหน่ำ และถูกซ้ำเติมจากคนที่โดน Margin call หลายๆครั้งหุ้นจะถูกจนน่าตกใจ
- ช่วงที่สอง ช่วงที่ตลาดหุ้นเละเทะ ตกต่ำ ดัชนีร่วงแบบไร้แนวรับ และช่วงที่สัญชาติญาณคุณบอกให้ขาย จะเป็นช่วงที่เหมาะที่เก็บของดีราคาถูก โดยเฉพาะถ้าคุณเคยตกรถจากที่มันขึ้นมาสูงๆในรอบแรก
ขายหุ้นเมื่อไหร่
- Peter Lynch ไม่สนใจในสัญญาณ Technical แต่ก็มักมีเพื่อนนักลงทุนคอยเตือนเค้าบ่อยๆว่าหุ้นตัวนั้นตัวนี้ถึงเวลาขายแล้ว ซึ่งเขายอมรับว่า มันยากที่จะไม่มีปฏิกิริยาไปกับคำแนะนำต่างๆ
- ตัวอย่างเช่น ตัวเขาเองเคยเข้าซื้อหุ้น Warner ที่เขามั่นใจว่าอยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัว เขาซื้อมันในราคา 26 USD สองสามวันหลังจากนั้นเพื่อนก็โทรมาเตือนว่าในทาง Technical หุ้นมันราคาสูงมากๆแล้ว ครั้นพอผ่านไปหกเดือน ราคาหุ้นจาก 26 -> 32usd และเขาก็เริ่มกลัวๆว่า ถ้า 26 มันสูงไปมาก 32 ก็ต้องสูงสุดๆ แล้วพอหุ้นขึ้นไปที่ 38 USD เขาก็ขายหุ้นออกมาหมด เพราะคิดว่ามันพุ่งเร็วไป แต่นั่นคือการคิดผิด เพราะภายหลังหุ้นก็ขึ้นไปมากกว่า 18o USD
- บทเรียนคือ แม้แต่มืออาชีพอย่างเขาก็ขายหมูไปมากมาย สิ่งที่เราต้องทำคือทบทวนว่าทำไมเราซื้อหุ้นตัวนั้นมาตั้งแต่แรก
- ผลกระทบของเสียงกลอง นักลงทุน ไม่ว่าจะสมัครเล่นหรืออาชีพ ย่อมได้รับอิทธิพลจากเสียงต่างๆ จากสื่อต่างๆตลอดเวลา ว่าให้ซื้อ ให้ขายหุ้นต่างๆ และมันจะทำให้เราเป๋ไปเป๋มา
- ดังนั้น ตลาดไม่สามารถบอกคุณได้ว่าจะขายเมื่อไหร่ การ “ขายก่อนวิกฤติเศรษฐกิจจะมา” นั้นเป็นคำแนะนำที่ถูกต้อง 100% แต่ใครจะไปรู้ว่ามันเกิดเมื่อไหร่
- การขายหุ้น “ไม่มีสูตรสำเร็จ” แต่ให้คิดเวลาขายหุ้น ให้เหมือนกับเวลาซื้อ ส่วนตัวเขาไม่ให้ความสนใจกับภาวะเศรษฐกิจ ยกเว้นบางสถานการที่ชัดมากๆ เช่น น้ำมันตกลงจนบริษัทน้ำมันโดนแน่ๆ
- ถ้ารู้ว่าซื้อหุ้นทำไมแต่แรก คุณจะมีเหตุผลที่ดีมากมายว่าจะขายหุ้นเมื่อไหร่
หุ้นโตช้า
- Peter Lynch ไม่ค่อยมีประสบการกับหุ้นกลุ่มนี้ ทั่วๆไปเขาจะขายเมื่อราคาขึ้นไป 30-50% หรือพื้นฐานเริ่มแย่ลง มีสัญญาณเช่น
- สูญเสีย Market Share 2 ปีติดกัน และกำลังจ้างโฆษณาใหม่
- ไม่มี R&D กำลังกินบุญเก่า
- DiWorsification
- ราคาหุ้นต่ำ แต่ผลตอบแทนเงินปันผลก็ไม่สูงพอ
หุ้นแข็งแกร่ง
- อย่าคาดหวัง 10 เด้งจากหุ้นกลุ่มนี้
- หากราคามันฉีก PE จากช่วงปกติไปมาก คุณอาจขายมันไปซื้อหุ้นอื่น หรือขายออกก่อนแล้วรอซื้อคืนตอนหลังที่ราคามันต่ำลงมา
- ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ออกมาในช่วงสองปี ไม่ประสบความสำเร็จ
- ไม่มี insider buying ในปีที่ผ่านมา
- ส่วนงานหลักที่ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ (>25%) กำลังเสี่ยงต่อภาวะ recession ที่กำลังมา
- บริษัทกำลังโตด้วยการลดต้นทุน
หุ้นวัฏจักร
- เวลาที่ดีที่สุดในการขายคือปลายทางของวงจร (ซึ่งไม่มีใครรู้) และในทางปฏิบัต ราคาหุ้นมักจะตกลงมาก่อนถึงปลายทาง เพราะคนมองว่าต้องรีบขายก่อน รอปลายทางแล้วมันจะแย่งกันขายหนัก
- เวลาที่ดีที่สุดจริงๆ จึงเป็นช่วงที่เริ่มมีสัญญาณบางอย่างแย่ลง เช่น ต้นทุนเพิ่ม โรงงานใช้กำลังผลิตเต็มอัตรา หรือ Inventory กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หมายถึงกำไรที่ต่ำลงรออยู่ข้างหน้า
- สัญญาณอื่นๆ เช่น บริษัทกำลังเพิ่มงบสร้างโรงงานใหม่ที่หรูหรา แทนที่จะปรับปรุงโรงงานเก่าซึ่งใช้เงินน้อยกว่า หรือ บริษัทพยายามลดต้นทุน แต่ก็สู้ผู้ผลิตจากต่างประเทศไม่ได้
หุ้นโตเร็ว
- ดูให้ออกว่าบริษัทสิ้นสุดช่วงที่สองของการเติบโตหรือยัง(ช่วงที่โตจากการเอาสูตรสำเร็จในตอนแรกขยายไปเรื่อยๆ) เช่น หากบริษัทแฟชั่น มีแต่คนมาบ่นว่าร้านเก่าลง โทรมลง ไม่มีใครนิยมแล้ว มันก็ถึงเวลา
- หรือ หากหุ้นตัวนั้นมีแต่คนพูดถึง มีแต่คำแนะนำให้ซื้อ มีแต่คนชื่นชม CEO บริษัท ก็ถึงเวลาบอกลา
- ช่วงท้ายๆของหุ้นโตเร็ว PE จะสูงแบบเหลือเชื่อ เช่น 50-60 เท่า และดูไม่มีทางเป็นไปได้ นั่นก็เป็นอีกสัญญาณขาย
- สัญญาณอื่นๆ เช่น SSSG ลดลง 3% ในไตรมาสสุดท้าย, ยอดขายร้านเปิดใหม่น่าผิดหวัง, CEO และพนักงานสำคัญลาออกยกทีม, บริษัทกำลังตระเวณให้ข่าวว่าอนาคตไม่มีปัญหา , หุ้นซื้อขายที่ PE 30 เท่าในขณะที่ประมาณกำไรเติบโตดีสุดคือ 15-20% ในสองปีข้างหน้า
หุ้นฟื้นตัว
- เมื่อปัญหาทุกอย่างถูกจัดการและคนรู้ว่ามันกลับมาแล้ว บริษัทกลับมาเป็นแบบเดิมก่อนที่มันจะล้มเหลว คนไม่กลัวหุ้นตัวนี้แล้ว หุ้นฟื้นตัวจะถูกจัดกลุ่มใหม่ ถ้าคุณซื้อมันเพราะต้องการหุ้นฟื้นตัว คุณก็ต้องขายเมื่อมันฟื้นตัวสำเร็จแล้ว แต่หากหลังฟื้นตัวแล้วมันเป็นหุ้นในกลุ่มที่คุณชอบ ก็ถือต่อ
- เช่น หุ้น Chrysler ที่ฟื้นตัวจากราคา 2 USD มาเป็น 48 USD ก็เปลี่ยนจากหุ้นฟื้นตัวเป็นหุ้นวัฏจักรตามอุตสาหกรรมรถยนต์ ดังน้้นเมื่อมันฟื้นตัวแล้วคุณจะหวังผลตอบแทนหลายๆด้งก็คงเป็นไปไม่ได้
- สัญญาณอื่นๆ เช่น จากที่หนี้ลดลงทุกไตรมาส อยู่ๆดีก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง , inventory เพิ่มเป็น 2 เท่าของยอดขาย, PE พุ่งสูงเกินไปเทียบกับกำไร
หุ้นทรัพย์สินมาก
- ถ้าบริษัทมีสินทรัพซ่อนอยู่จริง และไม่ก่อหนี้ขึ้นมามากจนลดมูลค่าทรัพสิน ก็รอให้นักล่ากิจการเข้ามาจัดการ ดังนั้นคุณจะขายก็ต่อเมื่อมีคนมาเทคโอเวอร์นั่นเอง เพราะราคามันจะพุ่งถึง 2-4 เท่า
- สัญญาณขายอื่นๆ : บริษัทขายหุ้นเพิ่มทุน เพื่อจะมาทำdiversification, แผนกงานที่คาดว่าขายได้ราคาดี กลับขายได้จริงน้อยกว่ามากๆ
บทที่ 18 : สิ่งที่โง่เขลาที่สุด และอันตรายที่สุด ที่คนพูดเกี่ยวกับราคาหุ้น
หุ้นตกมาเยอะแล้ว มันจะลงต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว
- ไม่มีกฏที่บอกคุณได้ว่าเมื่อราคาหุ้นตกลงมาเยอะแล้ว มันจะไม่ลงไปอีก
- แม้คุณจะคิดว่า Valuation หุ้นเหมาะสมแล้วที่ราคานี้ๆ แต่ราคาหุ้นมันก็ตกลงไปได้อีก เช่น Peter lynch เคยซื้อหุ้น Kaiser Industries เมื่อราคามาตกจาก 25 -> 11 usd แล้วหุ้นก็ตกลงไป bottom ที่ 4 usd ในสองปีถัดไป แต่ด้วยความเชื่อมันในพื้นฐาน ราคาหุ้นก็กลับมาได้จริงๆ
คุณบอกได้เสมอว่าราคาหุ้น Bottom แล้ว
- การช้อนหุ้นที่ตกลงมาอย่างรวดเร็วนั้น มักลงเอยเป็นการรับมีด
- จะดีกว่าถ้าคุณรอให้มีดลงถึงพื้น ดูมันสั่นไปมาสักพัก แล้วค่อยไปรับมัน ซึ่งกระบวนการนี้ใช้เวลาหลายปี
ถ้ามันขึ้นสูงแล้ว มันจะสูงไปอีกได้ยังไง
- ถ้าคุณมัวแต่คิดว่า หุ้นตัวนี้จะขึ้นต่อไปได้ยังไง คุณอาจจะพลาดหุ้นที่แม้มันจะขึ้นมาแล้ว 20 เท่า แต่พื้นฐานยังถูก และทำกำไรได้ต่อไปอีกถึง 7 เท่านั้น
- ตราบใดที่พื้นฐานยังดี เรื่องราวยัง กำไรยังขึ้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่หุ้นมันจะไม่สามารถ ขึ้นสูงกว่านั้นอีก อย่าใช้เหตุแค่ว่า หุ้นขึ้นมา 2-3 เท่า ก็ถึงเวลาขาย เพราะจะทำให้คุณไม่มีวันได้หุ้น 10 เด้งจากเหตุผลเหล่านี้
- Peter Lynch ไม่เคยทำนายได้ทันทีว่าหุ้นตัวนั้นตัวนี้ จะไปถึง 5-10 เท่า สิ่งที่เขาทำคือติดตามเรื่องราวมันว่ายังไปตามคาดหรือไม่ หลายๆครั้ง เขาซื้อหุ้นมาในฐานะหุ้นปันผล แต่กลายเป็นว่ามันเปลี่ยนเป็นหุ้นโตเร็ว
หุ้นราคาต่ำๆ ปลอดภัยกว่าหุ้นราคาสูงๆ
- ไม่ว่าราคาหุ้นเท่าไหร่ ถ้ามันเป็นหุ้นเน่าๆ คุณก็เสีย 100% ได้เหมือนกัน
มันจะกลับมา
- มีบริษัทระดับโลกมามายที่ไปแล้วไปลับ
มันจะต้องมีจุดที่มืดดำสุด ก่อนจะสว่าง
- ธุรกิจที่เคยคึกคักทำกำไรได้มหาศาล ก็อาจตกต่ำ และไม่กลับมาอีกเลย
เมื่อมันเด้งขึ้นที่ 10 เหรียญ ผมจะขาย
- หากมีหุ้นที่คุณติดดอยอยู่ และคุณคิดว่าถ้ามัน Rebound ราคานี้เมื่อไหร่ จะขาย แสดงว่าคุณได้แสดงการจำทนถือหุ้นที่คุณไม่ชอบแล้ว
- ความคิดนี้จึงเป็นกับดัก ให้คิดไปเลยว่า มั่นใจ และจะซื้อหุ้นเพิ่ม หรือไม่งั้นก็ขายมันทิ้งทันที
หุ้นปลอดภัยจะไม่ผันผวน
- คุณไม่มีทางหาหุ้นที่จะถือไปได้ตลอดโดยไม่ต้องสนใจเรื่องราวของมัน เพราะอนาคตนั้นไม่แน่นอน และพื้นฐานเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หุ้นที่มองว่าเป็นธุรกิจปลอดภัย เช่น สาธารณูปโภค ก็เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงและล้มละลายได้เช่นกัน
นานขนาดนี้ มันคงไม่เกิดขึ้นแล้ว (“It’s taking too long for anything to ever happen”)
- หุ้น Merck มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอในอัตรา 14% ต่อปี ในช่วง 1972 – 1981 แต่ราคาหุ้นไม่ไปไหนเลย ถ้านักลงทุนยอมแพ้เพียงเพราะเบื่อการรอคอย โดยไม่สนใจพื้นฐานบริษัท เขาจะเสียโอกาสที่จะได้หุ้นที่พึ่งเป็น 4 เด้ง ใน 5 ปีต่อมา
- Peter Lynch เองได้ผลกำไรเป็นชิ้นเป็นอันจากหุ้นที่ราคาไม่ไปไหน แต่พื้นฐานดี ก็เมื่อหุ้นนั้นผ่านไปในปีที่ 3-4
ถ้าตอนนั้นได้ซื้อหุ้นเด็ดตัวนี้ ก็จะมีเงินมากมายแล้ว
- หลายๆคนมักชอบเช็คว่าหุ้นที่มีกำไรสูงสุดประจำปีคือตัวไหน และทนทุกทรมานกับงาน “รู้งี้” กับการ ตกรถ คิดเอากำไรของคนอื่น มาเป็นการขาดทุนส่วนตัว
- ทัศนคตินี้ยังทำให้เราเผลอกลัวตกรถหุ้นร้อนแรง และติดดอย เสียหายจริงๆ
พลาดตัวนี้ไป จะไปจับตัวต่อไป
- ….ตัวต่อไป ไม่มีอยู่จริง เช่น ถ้าพลาดหุ้น Home Depot ในราคาต่ำๆ แล้วไปซื้อหุ้น Scotty’s ที่ได้ฉายาว่า Home Depot ตัวถัดไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คุณจะได้กำไรต่ำเตี้ยเพราะหุ้น Depot ขึ้นไปถึง 25 เท่า แต่หุ้น ตัวถัดไปขึ้นเพียง 30%
- ดังนั้น ซื้อบริษัทดีในราคาสูง อาจดีกว่าซื้อหุ้นตัวต่อไป ในราคาถูก
หุ้นขึ้น ดังนั้นฉันคิดถูก หุ้นลง ดังนั้นฉันคิดผิด
- นี่คือ Fallacy ที่สำคัญที่สุดในการลงทุน คนทั่วๆไปมักอิ่มอกอิ่มใจเมื่อซื้อหุ้น 5 เหรียญแล้วมันปรับขึ้นเป็น 6 เหรียญในเวลาอันสั้น และคิดว่าราคาที่ขึ้นนั้นแสดงว่าเขามาถูกทางแล้ว และมักขายหุ้นที่ตกต่ำลง “เก็บตัวชนะ และทิ้งตัวที่แพ้” ซึ่งหลายๆครั้ง เวลาผ่านไปนานๆเข้า มันจะตรงกันข้ามกัน
- ที่เป็นเช่นนี้เพราะหลายๆคนสับสน “ราคา กับ อนาคต ของกิจการ”
- หุ้นที่ขึ้นหรือลงหลังจากคุณซื้อมัน บอกได้แค่ว่า มีคนบางคนเต็มใจจะจายมากกว่าหรือน้อยกว่า ราคาสำหรับสินค้าตัวเดียวกัน
บทที่ 19 : Option, Future and Short Sells
Option & Future
- Peter Lynch ไม่เคยลงทุนใน Future และ Option เนื่อจากเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจมันเหมือนกัน และลำพังการลงทุนในหุ้นก็ยุ่งยากพอแล้ว
- เขาอ้างรายงานว่า 80-95% ของมือสมัครเล่น ขาดทุน ซึ่งมันแย่กว่าการเล่นคาสิโน หรือสนามม้า
- เขามองว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในการซื้อ Option คือ มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการถือหุ้นเลย เมื่อบริษัทเติบโตรุ่งเรือง ผุ้ถือหุ้นทุกคนได้ประโยชน์ แต่ Option เป็น Zero-Sum game การซื้อหุ้นนั้นแม้มันจะเป็นหุ้นที่เสี่ยงมาก หรือแม้แต่เล่นหุ้นแบบเก็งกำไร ก็มีประโยชน์กว่า มันทำให้หุ้นหลายๆตัว เช่น IBM, Wall-Mart สามารถจัดหาทุนเพิ่มได้ แต่เม็ดเงินในตลาด Option นั้นไมมี่ประโยชน์อะไรเลย นอกจากทำให้Broker รวยเอาๆ และคนที่รวยอยู่ไม่กี่คน
- สำหรับการใช้ Option หรือ Future เพื่อ Hedge หุ้นในพอร์ต ที่นักลงทุนสถาบันนิยมชมชอบนั้น หลายๆครั้งมันก็ทำร้ายเขายิ่งกว่าเดิม
- การซื้อ Put option เพื่อประกันหุ้นตกในรายย่อยก็เช่นกัน ที่ทำให้เราต้องเสียเงิน 5-10% ของเงินลงทุนแต่ละปี เพื่อป้องกันตัวเองในเวลี่หุ้นตก 5-10%
- ที่ร้ายแรงไปกว่าคือ บ่อยครั้งคนที่เริ่มต้นซื้อ Put เพื่อประกันราคาหุ้น ก็จะไปเล่น option อื่นๆ จนลืมไปว่าเขาสนใจหุ้น ทิ้งเรื่องพื้นฐานไป ไปหมกมุ่นกับ Technical analysis
Short Sell
- ข้อเสียการยืมหุ้นมา short คือ ระหว่างเวลาที่คุณยืมหุ้นนั้น ปันผลก็ยังไปสู่เจ้าของ และคุณจะไม่ได้เงินจนกว่าคุณจะซื้อหุ้นมาคืนและปิดรายการ
- สิ่งที่น่ากลัวคือ แม้คุณจะประเมินแล้วว่าบริษัทนี้ ราคาหุ้นสูงเกินไปมาก แต่นักลงทุนคนอื่นอาจไม่ตระหนักและไล่ราคาหุ้นให้สูงไปอีก และจะทำให้คุณกังวลใจสุดๆ ถ้าคุณไม่มีเงินพอจะรับมือกับ Margin call คุณก็จะขาดทุนมหาศาล หลายๆครั้งหุ้นเน่าที่ยังไม่มีใครตระหนัก ก็ทำให้คุณหมดตัวได้
- การที่หุ้นตกหนักนั้นทำให้คนหวาดกลัว แต่มันจะไม่มีทางที่ราคาต่ำกว่า 0 ในขณะที่การ short sell นั้น ราคามันวิ่งขึ้นไปได้แบบ unlimited
บทที่ 20 : คนฝรั่งเศส 50,000 คน อาจจะผิดได้
- ในบทนี้ Peter Lynch ได้บรรยายเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ระหว่างปี 1960 – 1988 และการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้น และสรุปส่งท้ายบทเรียนคือ
- ตลาดอาจตกลงไปมาก ในเดือนหน้า ปีหน้า สามปีหน้า ไม่มีใครรู้
- ตลาดตกเป็นโอกาสที่ดีมากในการซื้อหุ้นบริษัทที่ดี
- เป็นไปไม่ได้ที่จะทำนายทิศทางของตลาดลล่วงหน้าไป 1 ปีหรือแม้แต่ 2 ปี
- คุณแค่ถูกเป็นส่วนใหญ่ ก็จะชนะแล้ว ไม่ต้องถูกตลอดเวลา
- ตัวที่ชนะมากที่สุดนั้น เป็นตัวที่ Peter Lynch ประหลาดใจ ไมใช่ตัวที่คิดไว้แต่แรกว่ามันจะชนะเยอะแน่ๆ
- หุ้นแต่ละกลุ่ม มีความเสี่ยง และผลตอบแทนต่างกัน
- กำไรทบต้นปีละ 20-30% ในหุ้นแข็งแกร่งก็เพียงพอแล้ว
- ระยะสั้นราคาหุ้นมักเคลื่อนไหวไปคนละทิศทางกับพื้นฐาน ในระยะยาง กำไรและราคาจะไปด้วยกันเสมอ
- บริษัทที่กำลังแย่ จะสามารถแย่ลงได้อีก
- ราคาหุ้นที่ขึ้น ไม่ได้แปลว่าคุณถูก
- หุ้นแข็งแกร่งที่ทุกคนเชียและราคาไดด้วิ่งสูงเกินพื้นฐานแล้ว จะต้องพักหรือถอยลง
- หุ้นราคาถูก จากบริษัทที่ไม่สดใส เป็นการหาเรื่องเสียเงิน
- อย่าขายหุ้นโตเร็วที่โดดเด่นด้วยเหตุว่าเพียงแค่ว่าราคาสูงเกินไป
- บริษัทไม่ได้โตเร็วโดยไม่มีเหตุผล หุ้นโตเร็วจะไม่สามารถโตได้ระดับนั้นตลอดไป
- คุนไม่ได้ขาดทุนเสียหายอะไรจากการที่ไม่ได้ซื้อหุ้น 10 เด้ง
- หุ้นไม่ได้รู้ว่าคุณเป็นเจ้าของมัน
- อย่ายึดติดกับหุ้นชนะมากไปจนลืมติดตามเรื่องราวของมัน
- สลับเปลี่ยนหุ้นอย่างระมัดระวัง โดยอิงจากพื้นฐานของกิจการ เมื่อหุ้นที่คุณมีออกนองเส้นทาง และมีตัวเลือกที่ดีกว่า ก็จงขายมันและไปเข้าสิ่งอื่นแทน
- เมื่อมีข่าวดีโอกาสดีเพิ่มขึ้นในเรื่องราวของหุ้นคุณ ก็ซื้อมันซะ ทำนองเดียวกัน ข่าวร้ายมา ก็ลดการถือครองมันลง
- ถ้าคุณไม่คิดว่าจะเอาชนะตลาดได้ ก็จงซื้อกองทุนรวม
- จะมีอะไรมาทำให้คุณกังวลเสมอ
- เปิดกว้างกับความคิดใหม่ๆ
- “You don’t have to ‘kiss all the girls.’ I’ve missed my share of 10-baggers and it hasn’t kept me from beating the market.