โรคระบาด ในมุมมองของ ยูวัล โนอาห์ แฮรารี ผู้แต่งหนังสือ เซเปียนส์
ตอนนี้มองไปที่ไหน “ความกลัว” ที่มีต่อโรค COVID-19 ก็ดูแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในประเทศเอง และทั้งระดับโลก
ทุกวันนี้ตื่นมาก็เจอแต่ “ข่าวร้าย” เต็มไปหมด ไหนจะไวรัสระบาดไปทั่วโลกแล้ว ไหนจะตัวเลขผู้เสียชีวิตนอกประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นแบบพุ่งทะยาน ไหนจะเรื่องราวของผู้คนที่ดูช่างไร้ความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะจากทั้งภาครัฐ และประชาชนด้วยกันเอง
มันช่าง “สิ้นหวัง” อะไรกันเช่นนี้
แน่นอน จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลก ที่เพิ่มขึ้นทะยานสูงขึ้นทั่วโลก อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในช่วงอายุหลายๆคน ย่อมทำให้เกิด “ความกลัว” จับขั้วหัวใจใครหลายๆคน
ยิ่งในยุคสมัยแห่ง Social Media ที่ถึงแม้ข้อมูลข่าวสารดีๆจะมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ข้อมูลด้าน”ร้ายๆ” นั้น จะขายดีกว่า Viral มากกว่า และเป็นที่สนใจมากกว่า เมื่อเทียบกับข้อมูล “กลางๆ” .. ก็เป็นสิ่งที่กระตุ้น ความหวาดกลัว ได้เป็นอย่างดี
ตัวผมเองก็ติดตามข่าวเรื่องไวรัสนี้มาพอสมควร มีอะไรที่อยากจะเขียนเต็มไปหมด…แต่กลัวดราม่า (สั้นๆง่ายๆครับ 55)
เลยขอหยิบบางท่อนบางตอนในประเด็นของโรคระบาดร้ายแรง (Plague) จากหนังสือ Homo Deus มาสรุปเล่าใหม่ ผสมกับความเห็นส่วนตัวนิดหน่อย มาให้อ่านเพลินๆครับ มุมมองผู้เขียนเขาน่าสนใจดี และน่าจะมีประโยชน์ในการเตือนตัวเอง ในสถานการณ์เช่นนี้ครับ
Plaque : The Old Human Agenda
ในสมัยโบราณ สิ่งที่ทำให้มนุษย์สิ้นชีพไปอย่างผักปลา มีอยู่ 3 อย่างคือ ภาวะอดอยาก โรคระบาด และศึกสงคราม
ซึ่งโรคระบาดนั้น เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมเมืองของมนุษย์ มาอย่างช้านานแล้ว
ผู้คนในสมัยโบราณนั้น อยู่กันอย่างหนาแน่นในเมืองใหญ่ๆ ท้องถนนเต็มไปด้วยพ่อค้า เจ้าพนักงาน และผู้มาเยือนจากต่างถิ่นมากมาย หลากหลายภาษาและหลากวัฒนธรรม
และหลากหลายเชื้อโรค ….. ในยุคที่มนุษย์ยังไม่มีความรู้เรื่องเชื้อโรค ไม่มีความรู้อะไรใดๆ เรื่องสุขอนามัย เมืองใหญ่ๆในสมัยโบราณ ก็ไม่ต่างอะไรกับจานเพาะเชื้อชั้นดี
ดังนั้นแล้ว โรคระบาดจึงเป็นอะไรที่ไกล้ตัวกับมนุษย์มากๆ
วันดีคืนดีคุณอาจจะป่วย และตายในอาทิตย์ถัดไป
วันดีคืนดี อาจมีห่าลง ตายกันทั้งเมือง ก็ถือเป็นเรื่อง “ธรรมดา”
โรคระบาดที่โด่งดังในยุคแรกๆ ก็คือ Black Death (กาฬโรค) เริ่มแพร่ระบาดช่วงปี 1330 มันได้คร่าชีวิตผู้ทั้งโลกไปกว่า 75 – 200 ล้านคน …. ซึ่งคิดเป็นประชากรประมาณ 25% ของทั้งทวีปยูเรเชียในสมัยนั้น
แต่กาฬโรคก็ไม่ใช่โรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติมนุษยชาติ
เพราะในยุคแห่งการสำรวจ ชาวยุโรปซึ่งออกเดินเรือไปค้นหาดินแดนใหม่ๆ ทั้งทวีปอเมริกา ทวีปออสเตรเลีย และหมู่เกาะต่างๆในแปซิฟิกส์ ก็ได้นำเชื้อโรคประจำถิ่นเดิม เช่นโรคฝีดาษ โรคหัด โรคไข้หวัดใหญ่ ไปแพร่ให้ชาวท้องถิ่นของแต่ละที่ ซึ่งสำหรับพวกชาวท้องถิ่นแล้ว มันคือเชื้อโรคใหม่ๆ ที่พวกเขาไม่มีภูมิคุ้มกันเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่ตามมาคือ มันทำให้ประชากรท้องถิ่นเสียชีวิตด้วยโรคระบาดไปถึง 90% ซึ่งเรียกได้ว่า เกือบหายไปทั้งทวีป! (ตัวอย่างเช่น ประชากรชาวมายาซึ่งอยู่ในบริเวณของประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน ลดลงจาก 22 ล้าน เหลือแค่ 2 ล้านคน ด้วยฝีมือของโรคระบาดที่มาด้วยกับชาวสเปน ความเสียหายนี้ เกิดภายในเวลาแค่ 60ปี หรือเพียง 1 ชั่วอายุคน เท่านั้น!)
ผู้คนในอดีตอยู่กับโรคระบาด โดยที่ไม่ได้มีความรู้ที่ถูกต้องใดๆ เขาไม่รู้จักคำว่าเชื้อโรคด้วยซ้ำ เขาคิดว่าโรคระบาดมันเป็นเคราะห์กรรมอย่างหนึ่ง เป็นการลงทัณฑ์จากพระเจ้าที่พวกเขาเชื่อถือ คนหลายสิบล้านต้องตายจากโรคระบาดต่างๆทุกปี โดยเฉพาะประชากรวัยเด็ก ที่ร่างกายไม่ได้แข็งแรง ไม่ได้มีภูมิมาก ก็มีเพียงแค่ 70% เท่านั้นที่แข็งแรงพอที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ได้ นอกนั้นก็ล้วนเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั้งสิ้น จากทั้งโรคระบาดและการขาดสารอาหารรวมๆกันไป
จนเมื่อมนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับเชื้อโรค ยาปฏิชีวนะ วัคซีน และการสาธารณสุข สถานการณ์ก็กลับตาลปัตร โรคระบาดก็พรากชีวิตมนุษย์ได้น้อยลงไปเรื่อยๆ
ซึ่งการแพทย์สมัยใหม่ที่ว่า พึ่งจะพัฒนามาในช่วงประมาณเพียง 200 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น (ประวัติศาสตร์ของมนุษย์คือหลักหมื่นปี อายรธรรมโบราณต่างๆเป็นหลักหลายพันปี แต่พึ่งมียาปฏิชีวนะ มีวัคซีนต่างๆเพียงประมาณ 200ปี จึงนับว่าสั้นมากๆครับ)
อัตราการเสียชีวิตจากโรคระบาดก็ลดลงฮวบฮาบ เช่น ในปี 1967 มีคนติดเชื้อโรคฝีดาษ (small pox) ทั่วโลก 15 ล้านคน ตายถึง 2 ล้านคน แต่ในปี 2014 จำนวนผู้ติดเชื้อ = 0
ส่วนอัตราการเสียชีวิตในเด็ก จากโรคระบาด ของทั่วทั้งโลกนั้น ก็ลดลงเหลือน้อยกว่า 1% !
The Vanquished Enemy
อาจกล่าวได้ว่า มนุษย์สามารถเอาชนะโรคระบาดรุนแรงได้แล้ว เพราะถึงแม้จะยังมีคนตายด้วยโรคระบาดประจำถิ่น เช่น มาลาเรีย ถึงปีละหลายล้านคน แต่ก็ถือว่าน้อยลงไปมากๆ
จากที่มันครองแชมป์สาเหตุหลักที่คร่าชีวิตผู้คนมาอย่างยาวนาน ตอนนี้มันน้อยกว่าการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือเสียชีวิตจากวัยชราด้วยซ้ำ
จุลินทรีย์ก่อโรค ซึ่งวิวัฒนาการคู่กันมากับสัตว์โลกหลายพันล้านปี ได้พ่ายแพ้ให้กับ Homo Sapiens ซึ่งมีวิวัฒนาการมาเพียงไม่กี่หมื่นปีเท่านั้น
แน่นอน ไม่มีใครมั่นใจได้ว่าโรคระบาดที่มีอาณุภาพคร่าคนเป็นล้าน จะไม่กลับมาอีกครั้ง…. แต่ความเป็นไปได้ มันจะมีมากสักแค่ไหน?
เพราะอย่าลืมว่า ในอดีตที่คนตายหลายร้อยล้านนั้น เป็นเพราะเชื้อโรคยังเป็นสิ่งลึกลับ (ไม่ต้องพูดถึงองค์ความรู้แบบการแพทย์สมัยใหม่) แต่ปัจจุบันมันได้กลายมาเป็นศัตรูที่จับต้องได้
และ มันยังคงเป็นศัตรูโบราณ ที่ยังใช้อาวุธแบบโบราณ ที่จะเล่นงานมนุษย์จำนวนมากได้ (ก็โดยผ่านการกลายพันธุ์”แบบสุ่ม” เท่านั้น )
ในขณะที่มนุษยชาติของเรานั้นมีวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ได้สั่งสมข้อมูลความรู้ มีระเบียบแบบแผน มีขั้นตอนที่เป็นระเบียบ ไม่ได้ลองผิดลองถูก ไม่ได้เป็นการเดาสุ่ม และได้พิสูจน์ให้เห็นจากผลงานในอดีตมานับไม่ถ้วนแล้ว ว่าเจ๋งกว่าเชื้อโรคมากเพียงไหน…
จึงจะเห็นได้ว่าโลกเรานั้น “ดี” ขึ้นกว่าอดีตมาก
โอกาสที่เราจะเอาชนะโรคระบาดและจำกัดความเสียหายได้นั้น มีมากกว่าหลายเท่า….
สถานการณ์ที่จะมีคนตายล้างโลก แบบในกรณีของ Black Death หรือ Spanish Flu นั้น มันคงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย…
(ถึงจะเป็นไปได้ คนก็ไม่ได้จะหายไปทั้งโลก มนุษย์ไม่ได้จะสูญพันธ์ไปไหน เรื่องตลกร้ายคือ ถ้าเกิดกรณี Worst Case นี้จริง มันอาจยืดอายุขัยของ “อารยธรรม” มนุษยชาติเสียด้วยซ้ำ เนื่องจาก Carbon Emission จะลดลงมาก ซึ่งดีต่อสิ่งแวดล้อมของโลก ซึ่งจากภัยโลกร้อนที่รอเราอยู่ในอนาคตนั้น ก็มีการคาดการณ์ว่าคนนับพันล้าน จะต้องได้รับผลกระทบ และจะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมหาศาล อาจมากกว่าโรคระบาดร้ายแรงในอดีตเสียอีก)
ดังนั้นแล้ว จะดีกว่าไหม ถ้าเราไม่ “กลัว” โรคระบาด ณ ขนาดนี้ จนเกิดเหตุ
WHO อุตส่าตั้งชื่อตัวก่อโรคนี้ยาวๆ ว่า ไวรัส SARS-CoV-2 มันไม่ใช่สิ่งลึกลับ ไม่ใช่ภูตผีปีศาจที่พร้อมจะพรากชีวิตทุกเมื่อ
ถ้าเราอยากรู้จักมัน เราก็สามารถหาความรู้ความเข้าใจ จากสื่อมาตรฐานได้เป็นอย่างดี เรามีข้อมูลมากมาย อธิบายว่ามันคืออะไร เผยแพร่ยังไง ก่อให้เกิดอาการแบบไหน อาการส่วนใหญ่คืออะไร ความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน
เรารู้ดีว่าเราจะป้องกันตัวเองยังไง ป้องกันคนรอบข้างที่เรารักอย่างไร เราก็ทำเต็มที่ พึ่งคนอื่นไม่ได้ ก็จงพึ่งตัวเอง เท่าที่เราจะทำได้ ด้วยสติและปัญญา
ระหว่างนี้…..
จงมั่นใจในการแพทย์ มั่นใจในมนุษยชาติ ที่ผ่านเรื่องร้ายๆมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ก็ยังยืดหยัดได้เสมอมา
รอคอยแสงสว่าง รอความสงบ อย่างมีความหวัง…
และแล้วสิ่งนี้ มันก็จะผ่านไปเช่นกัน…