สรุปบทเรียน Learning How to Learn

Learning How To learn สรุป

สรุป Learning how to Learn: คอร์สเรียนออนไลน์ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก

ในยุคแห่ง Dataยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ความรู้หรือวุฒิการศึกษาที่เรามี อาจไม่เพียงพอ และไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

หนึ่งในคุณสมบัติที่ดีเพื่อการปรับตัวอยู่รอดให้ได้ในยุคนี้ คือการเป็นคนที่ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

การจะเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดี มีประสิทธิภาพ ก็ต้องเริ่มจากการรู้ว่า “วิธีการเรียนที่ดี” นั้นเป็นอย่างไร

นี่คือที่มาของสรุปบทเรียน “Learning how to Learn”​ คอร์สเรียนออนไลน์ (MOOC) ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก (ยอดลงทะเบียน ณ 19/06/19 = 1,714,748  คน) ซึ่งเริ่มเปิดสอนตั้งแต่สิงหา 2014 ที่ Coursera.org อาจารย์ผู้สอนในคอร์สนี้มีสองคนคือ

  1. Dr. Barbara Oakley : ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ แห่ง Oakland University ซึ่งเดิมนั้นเธอเป็นคนที่เกลียดวิชาคณิตศาสตร์อย่างมาก เธอเข้าทำงานในกองทัพสหรัฐอเมริกาและเรียนจบมาในด้านภาษา แต่ภายหลังก็อยากท้ทาทายความสามารถของสมองตัวเอง ว่าจากที่เรียนมาแต่ด้านภาษา จะไปรอดในวิชาที่ต้องใช้คณิตศาสตร์เป็นหลักได้หรือไม่ เธอจึงเรียนต่อด้านวิศวกรรมจนจบปริญญาเอก (เธอเริ่มเรียนเลขตอนอายุ 26 ปี!)
  2. Dr. Terrence Sejnowski : ศาสตราจารย์ด้าน computational neuroscience ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นโคตรอัจฉริยะ เพราะมีความเป็นเลิศทั้งด้านการแพทย์ และ วิศวกรรม ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ Salk Institute for Biological studies (เป็นสถาบันที่ผลิตนักวิทยาศาสตร์ระดับรางวัลโนเบลมาแล้วมากมาย) 
Barbara Oakley
Dr. Barbara Oakley
Terrence Sejnowski
Dr. Terrence Sejnowski

เนื้อหาในคอร์สนั้นจะเกี่ยวกับว่า เรียนอย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยอ้างอิงงานวิจัยจากทางด้าน Neuroscience ต่างๆ มาเป็นหลักฐาน จึงมั่นใจได้ว่าเนื้อหาในบทเรียนไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อมโนไปเอง

ตัวบทเรียน จะเรียงลำดับจากปูพื้นฐานด้านวิธีการคิด วิธีการเรียนรู้ของสมอง(แบบเบื้องต้น) ความทรงจำของเรามีกี่แบบ และทำงานอย่างไร การผัดวันประกันพรุ่งเกี่ยวข้องกับการเรียนอย่างไร เทคนิคการเรียน เทคนิคจำ เทคนิคการทำข้อสอบ อย่างไรก็ตามระหว่างเรียนนั้นผู้สอนก็จะเปลี่ยนไปมาระหว่างบทบ้าง (คือมี Interleaving-จะอธิบายคำนี้ในภายหลัง) แต่ก็ไม่ทำให้เกิดการสับสนแต่อย่างใด

โดยรวมแล้วผมแนะนำให้ทุกคนเรียนCourse online นี้ครับ (คนที่ไม่เก่งภาษอังกฤษก็ไม่ต้องกลัวมี Subtitle ภาษาไทยอย่างดี) ตัววิดีโอนั้นรวมๆแล้วเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่เนื้อหานั้นจะทำให้เราตระหนักได้เลยว่าที่ราเคยเรียนกันมาตลอดนั้น มีข้อผิดพลาดใหญ่หลวงแค่ไหน

การเรียนรู้ตลอดเวลานั้นจำเป็นมากในยุคนี้ ซึ่งจากข้อมูลปริมาณมากมายมหาศาล คุณจึงต้องรู้วิธีเรียนให้เร็ว และให้มีประสิทธิภาพด้วย

ผมเชื่อว่า เนื้อหาในคอร์สนี้ จะเปลี่ยนชีวิตการเรียนรู้ของหลายๆคนไปตลอดกาลครับ

Couse Outline

ตัวบทเรียนนั้นจะแบ่งเนื้อหาอ่อนเป็น 4 ส่วน คือ

  • Week 1: What is Learning?
  • Week 2: Chunking
  • Week 3: Procrastination and Memory
  • Week 4: Renaissance Learning and Unlocking Your Potential

ซึ่งดังที่บอกไปว่าระหว่างเรียนนั้น ผู้สอนก็จะมีการสลับสับเปลี่ยนเนื้อหาแต่ละบทไปบ้าง เพื่อเป็นการให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงระหว่างของใหม่และของเก่าได้

อย่างไรก็ตามผมจะนำมาสรุปใหม่ตามความเข้าใจ และแบ่งออกเป็น Part ดังนี้ครับ

  1. The Essential Concepts: อธิบายการทำงานของสมองเบื้องต้น วิธีการคิด วิธีการจำ การสร้างกลุ่มของข้อมูล (Chunking) และความสำคัญในการนอนหลับ
  2. The Learning Techniques : อธิบายถึงเทคนิคต่างๆที่ทำให้เรียนดีขึ้น และอุปสรรคต่างๆที่คอยขัดขวางไม่ให้การเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการแก้ปัญหา
  3. The Procrastination: การผัดวันประกันพรุ่งคือศัตรูสำคัญที่สุด ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ part นี้จึงแยกออกมา โดยเริ่มการอธิบายว่าแท้จริงแล้วมันเกิดจากอะไร และจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรได้บ้าง
  4. The Memory Techniques: เมื่อเรามีเทคนิคการเรียนที่ดีแล้ว การฝึกจำให้ได้ก็สำคัญเช่นกัน
  5. The Test Taking Tips: รวมเทคนิคเล็กๆน้อย ที่จะทำให้คุณสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Part I : The Essential Concepts

The Brain

  • สมองนั้นประกอบด้วยเซลล์ประสาทหลายล้านเซลล์ ข้อมูลต่างๆจะถูกส่งผ่านทาง Synapse
  • เมื่อคุณเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือจดจำสิ่งใหม่ๆ และตามด้วยการนอนหลับที่เพียงพอ เซลล์สมองจะมีการสร้าง Synapse เพิ่มมากขึ้น

Thinking Mode : สมองของคุณทำงานอย่างไร เวลากำลังคิดถึงอะไรสักอย่าง?

  • สมมติคุณกำลังแก้โจทย์ปัญหาอยู่ 1 ข้อ หากข้อนั้นเป็นเรืองๆง่ายๆที่คุณคุ้นเคย คุณจะแก้มันได้ภายในไม่ถึงนาที
  • แต่หากเป็นเรื่องที่ยากขึ้น ซับซ้อนขึ้น คุณอาจต้องโฟกัส นั่งคิดวิเคราะห์อยู่นานหลายนาทีกว่าจะคิดออก
  • หรือบางครั้ง คุณนั่งคิดยังไงก็คิดไม่ออก พยายามเต็มที่แล้วยังไงก็ไม่ได้ แต่พอคุณไปเดินพัก แวะกินไปกินข้าว ไปวิ่ง หรือตื่นนอนมาในอีกวัน คุณกลับพบว่าคุณคิดคำตอบออกแล้ว
  • การที่คุณ”ไม่ได้คิด” อะไรอยู่ แต่กลับมาพร้อมกับคำตอบได้นั้น จึงแสดงว่าแท้จริงแล้ว ในเบื้องหลัง สมองก็ยังทำงานอยู่นั่นเอง เพียงแต่คุณไม่รู้ตัว เรียกว่าความคิดใน Diffuse mode
  • โดยปกติเวลาเรากำลังคิดแก้ปัญหาอะไร เราจะมีรูปแบบความคิดในการแก้ปัญหา 2 โหมด คือ Focus mode และ Diffuse mode
Focus mode
  • เพื่อความเข้าใจ จะใช้การเล่นพินบอลมาเปรียบเทียบกับรูปแบบความคิด 2 อย่างนี้ โดยเปรียบลูกบอลเหมือน ความคิด (Though) และ ตัวลานพินบอลนี้ก็คือสมอง ส่วนตัว Bumper ก็คือตัวคอยจำกัดพื้นที่การเคลื่อนไหวของความคิด (ลูกบอล) , ยิ่งมี Bumper หนาแน่น ความคิดก็เคลื่อนที่ได้แคบลง สั้นลง แต่จะ concentrate มากขึ้น
     1. Focus Mode :
  • หรือ รูปแบบการคิดแบบโฟกัส เปรียบก็คือ ความคิดที่อยู่ในสนามพินบอลที่มีตัว bumper วางตัวกันอย่างหนาแน่นและเป็นระเบียบ ความคิดเราใน Mode นี้จึงมีช่องทางเดินที่จำกัด แต่ก็จะพุ่ง Focus ไปยังเป้าหมายโดยตรง
    • เส้นสีส้มในรูป คือ Familia Thought pattern (รูปแบบการคิดที่เราคุ้ยเคย) เช่น การบวกลบเลข การคำนวณสูตรคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การวิจารณ์วรรณกรรม หรือก็คือ Idea อะไรก็ตามที่เราคุ้นเคยกับมัน เมื่อเราอยู่ใน Mode นี้ ความคิดเราสามารถไปสู่มันได้ง่าย (ก็คือถ้าเราคิดอย่างโฟกัส กับสิ่งที่เราคุ้นเคย เราก็จะแก้ปัญหาได้เร็ว)
    • แต่ปัญหาคือ หากเราเจอกับปัญหาที่เป็นเรื่องใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ไม่มีข้อมูลมาก่อน ไม่รู้วิธีแก้ปัญหามาก่อน (ดังเช่นวงสีดำๆในภาพ) กรอบ(Bumper) ก็จะกันไม่ให้ความคิดของเราไปถึงมันได้ จึงทำให้แก้ปัญหาไม่ได้นั่นเอง
    • ดังนั้นการคิดแบบโฟกัส จึงใช้ได้ดีในการคิดแก้ปัญหากับสิ่งที่เราคุ้นเคยมาก่อน หรือปัญหาง่ายๆ แต่จะมีปัญหาหากต้องเจออะไรซับซ้อน หรือเจอปัญหาใหม่ๆที่เราไม่เคยเจอ
  • เราจะเห็นได้ว่าตัว Bumper นั้นคอยกันไม่ให้เราไปถึงวิธีแก้ปัญหาได้ สมองจึงมีอีกโหมดเพื่อรับมือกับเหตุการณ์นี้ ก็คือ Diffuse Mode
     2. Diffuse Mode :
  • เมื่อคุณ Relax (ไม่ได้โฟกัสกับปัญหานั้นแล้ว) สมองของคุณจะอยู่ใน Neural Resting Stage สภาพสมองจะเปรียบเหมือนว่าตัว Bumper มันอยู่แยกกันหลวมๆมากขึ้น ความคิดของคุณ (ซึ่งยังแล่นอยู่เบื้องหลัง โดยคุยไม่รู้ตัว) ก็จะแล่นได้อิสระมากขึ้น ไม่โดนบีบแน่นมากนัก มันจะวิ่งไปมาได้อิสระขึ้น ไปได้กว้างขึ้น
  • ในโหมดนี้ เปรียบเสมือนว่าคุณปล่อยความคิดให้ล่องลอยอย่างอิสระ ปล่อยให้มันสร้าง Random connection ไปเอง
  • ใน Mode นี้คุณจะไม่รู้ตัวว่ากำลังคิดถึงปัญหาที่ต้องการแก้อยู่ แต่ตัวความคิดในการแก้ปัญหาที่คุณได้จาก focus mode นั้น ก็ยังคงทำงาน ฉะนั้น คำตอบที่ได้จากความคิดในโหมดนี้ จะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายหรือคำตอบที่ชัดเจนนัก แต่มันจะมาในลักษณะของไอเดียเริ่มต้น(อารมณ์ประมาณว่า “อ๋อ มันน่าจะเป็นแบบนี้นะ”) พอทำให้คุณได้คลำทางว่าจะเริ่มแก้ปัญหาจากจุดใด และเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คุณได้เริ่มมีไอเดียสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆได้
  • การคิดแก้ปัญหาใน Mode นี้จะเกิดเมื่อคุณอยู่ในภาวะผ่อนคลาย (คิดโดยไม่คิด) เป็นความคิดใน Subconscious level เช่น เกิดขึ้นในขณะเดินเล่น วิ่งเล่น อาบน้ำ หรือนอนหลับ
  • เราไม่สามารถใช้ความคิดทั้งสอง Mode นี้ได้ ในเวลาเดียวกัน
  • การเรียนสิ่งใหม่ๆ การแก้ปัญหาที่ไม่คุ้นเคย หรือปัญหาที่ซับซ้อน นั้นจะประกอบไปด้วยการสลับกันระหว่างความคิดทั้งสองMode นี้ โดย Focus mode จะทำให้คุณได้ข้อมูล ได้คิดวิเคราะแก้ปัญหาเต็มที่ ได้เค้นสมองเต็มที่ แต่หากคุณคิดคำตอบไม่ออก คุณก็ไปผ่อนคลาย เพื่อให้สมองอยู่ใน Diffuse mode, เพื่อให้ความคิดใต้สำนึกของคุณพยายามหาสิ่งใหม่ๆมาเชื่อมโยง และมองภาพให้กว้างขึ้น เมื่อเวลาาผ่านไปซักพัก คุณก็อาจจะพบว่าคุณเริ่มรู้วิธีแก้ปัญหา เริ่มมีข้อมูลแก้ปัญหามากขึ้น หรือคิดสร้างสรรค์วิธีแก้ปัญหาใหม่ๆได้

Memory

  • โดยหลักแล้วเวลาจะคิดอะไรใดๆ เราก็จะมี Material ในการคิด, Material นี้ก็มาจากความจำนั่นเอง
  • ความจำแบ่งอีกเป็น 2 ประเภท
    1. Working Memory :
  • คือความจำที่คุณใช้มันเวลาที่จำเป็นต้องคิดอะไรสักอย่างในใจ ความจำชนิดนี้จะอยู่ในส่วนของสมองที่บริเวณที่เรียกว่า Prefrontal Cortex ตัว working memory มีSlot ให้จดจำข้อมูลต่างๆ เพียงแค่ 4 slots เท่านั้น
   2. Long-Term Memory :
  • ความจำระยะยาว ซึ่งจะถูกเก็บอยู่ในบริเวณต่างๆของสมอง สมองของเราจะเก็บความจำระยะยาวได้มากมาย แต่มันก็ยากเหมือนกันในการนำความรู้ที่เก็บอยู่ในความทรงจำระยะยาวนี้กลับมาใช้
   Spaced Repetation
  • เวลาคุณเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มันจะเหมือนกับว่าคุณกำลังนำข้อมูลต่างๆนั้นมาเก็บใน working memory ก่อน ,เปรียบเทียบ working memory เป็นกระดานดำที่แสดงภาพได้ไม่ชัด การจะทำให้คุณเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้ดีนั้นจึงต้องมีการซ้ำหลายๆครั้ง โดยการทบทวนความจำที่ดีและทำให้จำได้ดีคือ “Space repetition” คือการจำหรือทำซ้ำโดนเว้นห่างหลายๆวัน เช่น ห่างวันเว้นวัน วันเว้นสองวัน วิธีจำซ้ำนี้จะใช้ได้ดีกว่าจำอัดๆกันในวันเดียว

Sleeping

  • การนอนหลับจะช่วยเป็นการจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญที่คุณได้เรียนรู้ในแต่ละวัน ลงในสมอง จึงสำคัญมากในการรักษา Long Term Memory และยังช่วยลบความทรงจำที่ไม่จำเป็นออกด้วย
  • นอกจากนี้พบว่า หากบังเอิญถ้าคุณฝันถึงสิ่งที่คุณเรียน คุณก็จะยิ่งจำมันได้ดีขึ้น

Chunking

  • Chunk เป็นศัพท์ทางจิตวิทยา หมายถึงกลุ่มก้อนข้อมูลที่มีความเกี่ยวโยงกัน ผ่านทางความหมายหรือจากการใช้งานบ่อยๆ
  • Chunk สามารถเพิ่มขนาดได้เรื่อยๆ เมื่อเราได้รับข้อมูลเพิ่ม , การมีอยู่ของ chunk ทำให้สมองเราสามารถ access กลุ่มของข้อมูลต่างๆได้ง่ายขึ้น เป็นการประหยัดเนื้อที่ของ working memory อีกทางหนึ่ง
    • ตัวอย่างเช่น เมื่อนำตัวอักษร P-O-P มาอยู่ด้วยกันจะได้ว่า POP ซึ่งทำให้คุณรู้สึกถึงเสียงดัง “ป็อป” การที่คุณเห็นตัวอักษรสามตัวนี้เรียงกันแล้ว นึกถึงเสียงป็อป ก็คือการทำที่สมองมันจดจำ chunk นี้ได้ และมีเซลล์ประสาทกลุ่มหนึ่งทำงานพร้อมกันนั่นเอง
  • Chunking ก็คือกระบวนการอัดข้อมูลต่างๆ ให้กลายเป็น Chunk
  • เราจะสร้าง Chunk ที่มีประสิทธิภาพได้อย่างไร?
    • สมมติคุณจะฝึกเล่นกีต้าให้ได้สักเพลงหนึ่ง เพลงๆนั้นก็เหมือน Chuck ก้อนมหึมา การจะฝึกเล่นเพลงให้ได้ ก็เริ่มจากที่คุณต้องคอยๆฝึกไปทีละท่อนๆเป็นเวลาหลายๆวัน เป็นการสร้าง Neural mini chunk มาต่อๆกัน จนเป็นอันใหญ่ หรือก็คือเพลงๆหนึ่งนั่นเอง
    • Step
      1. Focus Undivided Attention : เพ่งสมาธิกับในข้อมูลที่คุณต้องการ Form Chunk , ในครั้งแรกที่คุณจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คุณกำลังสร้าง Neural pattern อันใหม่ และต้องการ connect มันกับสิ่งที่มีมาก่อน ซึ่งก็กระจัดกระจายอยู่ทั่วสมอง คุณจึงต้องมีสมาธิอย่างมาก
      2. ทำความเข้าใจข้อมูลที่กำลังจะ Chunk , ความเข้าใจจะเป็นตัวเชื่อมที่ดีระหว่างความทรงจำในข้อมูลต่างๆ คุณสามารถ form chunk ได้แม้คุณจะไม่เข้าใจ แต่นั่นจะเป็นเพียงแค่ useless chunk ที่ไม่fit กับข้อมูลอื่นๆได้เลย และคุณจะลืมมันง่ายๆมากๆ
        1. ** การทำความเข้าใจ ในที่นี้ ไม่ใช่อารมแบบฟังครูอธิบายแล้วเข้าใจ หรือ อ่านเฉลยแล้วเข้าใจ แต่หมายถึงความเข้าใจที่เกิดจากตัวคุณเอง ทีได้จากการที่คุณทบทวนบทเรียน หรือได้ลองทำแบบฝึกหัดและแก้ปัญหาเองแล้ว (เช่นเดียวกันกับการวาดรูป การเล่นกีต้า ที่ต้องเล่นเอง)
        2. ต้องทำเองเท่านั้นที่จะสร้าง neural pattern ที่มีความหมายได้
Chunk

  3. หา context (Practice): การรู้ Context จะทำให้เรารู้ว่าเราควรใช้ chunk นี้ได้เมื่อไหร่ และไม่ควรใช้มันเมื่อไหร่

      • ปกติการเรียนรู้เกิดขึ้นในสองทาง คือ Top-down ซึ่งเป็นการมองภาพรวมให้ออกว่าคุณกำลังเรียนอะไร และ Bottom-up คือ เรียนรายละเอียดในเรื่องใดๆเรื่องหนึ่ง
      • Context คือที่ๆ Top-down และ Bottom-up มาเจอกัน
      • ตัวอย่างเช่น Big picture คือการที่คุณเปิดหนังสือบทนี้ผ่านๆ เพื่อดู outline และให้รู้ว่าตัวบทนี้เกี่ยวกับอะไร , Bottom up คือการเรียนเจาะลึกไปในแต่ละหัวข้อย่อย Context คือการที่คุณรู้ว่าเมื่อถึงตรงนี้คุณต้องใช้องค์ความรู้ย่อยตัวไหน และไม่ควรใช้ตัวไหน
Context

Library of Chunk

  • การที่คนๆนึงจะกลายเป็นผู้เขี่ยวขาญอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมดนตรี ซ้อมกีฬา อ่านหนังสือ ก็คือการค่อยๆ สะสม chunk เล็กๆ ให้มากขึ้นๆเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป และให้มันเชื่อมต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนสายริบบอนที่ยาวมากขึ้นๆ
  • นอกจากนี้การเก็บสะสม chunk จะทำให้ diffuse mode ค่อยๆเชื่อมโยงconcept ต่างๆมากขึ้น เกิดเป็น pattern ต่างๆที่พร้อมให้เราหยิบใช้ได้มากขึ้นโดยไม่ได้รู้ตัว
  • Transfer
    • การมี chunk ที่หลากหลายทำให้คุรเข้าใจ concept ใหม่ๆง่ายขึ้น เวลาที่คุณเจอองค์ความรู้ที่มีลักษณะคล้ายๆกัน เช่น ความรู้จากฟิสิก คล้ายกับความรู้เวลาทำธุรกิจ เราเรียกว่ามันสามารถ transfer แก่กันได้

Part II : The Learning Techniques

1. Recall

  • งานวิจัยของ Jeffrey Karpicke พบว่า การทวนเนื้อหาโดยการอ่านหนังสือซ้ำๆ เป็นการกระทำที่ไม่ Productive และเสียเวลา ที่ดีกว่าคือการ Recall (คือปิดหนังสือ แล้วพยายามนึกไห้ได้ว่าที่อ่านไปมันเป็นยังไง)
    1. Recall นั้นได้ผลดีกว่า การ Rereading หรือแม้แต่การวาด MindMap เสียด้วยซ้ำ
    2. Rereading ที่มีประโยชน์นั้นจะมีต่อเมื่อคุณต้องเว้นช่วงอ่านซ้ำ ซึ่งก็เป็น Space Repetition แบบหนึ่งนั่นเอง
    3. การเรียนรู้และการ Recall สิ่งใหม่ๆนั้น จะเหมือนกับว่าเราทำให้ Slot memory 4 ช่อง ที่เริ่มด้วยข้อมูลต่างๆที่มี connection อันยุ่งเหยิงนั้น เกิดการปะติดปะต่อเรื่องราว และสร้าง Chunk ออกมาได้ ความยุ่งเหยิงนี้ก็จะลดลง จนอาจจะเหลือเป็น chunk ยาวๆสายใยเดียวกันที่ใช้พื้นที่ slot ไปเพียงแค่อันเดียว จึงทำให้คุณมีช่องว่างเพิ่ม เพื่อใช้ประมวลผลข้อมูลเพิ่มขึ้น
  • Recall ที่ดี ต้องทำนอกสถานที่
    1. เวลาที่คุณเรียนรู้อะไรใหม่ๆ สภาพแวดล้อม ณ ขณะที่คุณกำลังเรียนอยู่นั้น อาจทำตัวเป็นเงื่อนไข (Subliminal cue) ในการทำให้คุณจำได้ (เช่น อยู่ที่บ้านจำได้ พอย้ายมาที่ห้องสอบกลับจำไม่ได้ เพราะไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมใหม่)ดังนั้น ถ้ามีเวลา ก็ให้คุณฝึกลองrecall ข้อมูลต่างๆ ในหลากลหายสถานที่ ก็อาจจะทำให้คุณนึกอะไรออกง่ายขึ้นเวลาเข้าห้องสอบ

2. Illusion Of Competence

  • คือการหลงผิด คิดว่าตัวเองรู้เรื่องแล้ว ทั้งๆที่ความจริงไม่ได้มีความรู้ใดๆเลย
  • เวลาที่คุณฟังคำอธิบายเฉลยโจทย์ หรืออ่านเฉลย แล้วคุณรู้สึกเข้าใจแจ่มแจ้งดี และรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ยากอะไร แต่พอต้องทำแก้โจทย์ด้วยตัวเองจริงๆ กลับทำไม่ได้ (แม้โจทย์นั้นก็เป็นข้อที่คุณอ่านเฉลยมาแล้ว) แสดงว่าคุณกำลังเจอกับ Illusion of competence
  • นั่นเป็นเพราะว่าคุณหลงคิดว่าคุณคิดออกมาได้จากสมองของตัวเอง (your own neural pattern) ทั้งที่จริงแล้วที่คุณได้มาคือแค่การรับสารอย่างหนึ่งเท่านั้น
  • ดังนั้นการจะให้ความทรงจำอยู่ในหัวคุณได้ คุณจะต้องเป็นคนคิดแก้ปัญหานั่นเอง เพื่อสร้าง neural pattern ให้เกิดในสมองของคุณ
  • Illusion of competence ยังพบได้ในการทำ highlight หรือ ทำสรุปย่อ/ Concept Mapping
    • การทำ Highlight เวลาอ่านหนังสือ ควรเน้นที่ประโยคสำคัญจริงๆเท่านั้น ย่อหน้านึ่งไม่ควรเกิดหนึ่งประโยค เพราะบางครั้งการ Hand motion จากการขีด Highlight จะหลอกว่าคุณได้เอา concept นี้เข้าไปในหัวแล้ว ซึ่งที่อาจจะไม่จริง
    • การทำสรุปย่อ การทำMindMap สวยงาม ก็มีโอกาสเป็น Illusion of competence เช่นกัน คุณอาจหลงคิดไปเองว่าคุณรู้เรื่องแล้ว ทั้งที่จริงคุณกลับจำอะไรไม่ได้เลย เพราะไอ้ที่คุณเขียนไป ยังไม่อยู่ในหัวคุณนั่นเอง
  • การแก้ปัญหา illusion of competence นั้นทำได้ง่ายๆ โดยการทำข้อสอบ ทำแบบฝึกหัด หรือทดสอบความเข้าใจตัวคุณเอง หรือ สอนเนื้อหาให้กับคนอื่นๆ

 3.Overlearning

    • การฝึกอะไรซ้ำไปซ้ำมาหลายๆรอบ เช่น ท่องศัพใหม่ๆ concept ใหม่ๆ หรือฝึกวิธีแก้ปัญหาเดิมซ้ำๆ ทำโจทย์เดิมซ้ำๆ แม้จะชำนาญในสิ่งนั้นแล้ว เรียกว่า Overlearning
    • Overlearning ทำให้เกิด Automaticity ซึ่งสำคัญในaction บางอย่าง เช่น การเล่นเปียในให้perfect, การฝึกพูดในที่สาธารณะ แต่การฝึกซ้ำๆในเวลาใกล้ๆกัน ก็จะเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยขน์นั่นเอง
    • การ repeat ที่ดีควรจะทำในโอกาสถัดๆไปที่ไม่ใช้ same study session ซึ่งจะช่วย strengthen และ deepen Neuron pattern ของคุณได้ดีกว่า เรียกการ repeat ที่เว้นระยะห่างไว้เป็นช่วงๆนี้ว่า Spaced Repetition
  • What is a spaced repetition system? How does it maintain your knowledge?
    • แต่การเอาแต่ Repeat สิ่งที่ดีที่คล่องแล้ว ก็อาจจะทำให้คุณหลงคิดว่าตัวคุณเองเก่ง (Illusion of competence) ทางที่ดีคือคุณต้องพยายามฝึกสิ่งที่ยากขึ้นเรื่อยๆ
    • การ Focus ฝึกฝนในสิ่งที่ยากขึ้นๆเรื่อยๆ เป็น stepๆ นี้ คือกระบวนการที่เรียกว่า Deliberate Practice ซึ่งกระบวนการนี้เอง ที่จะแยกระหว่างนักเรียนที่เก่ง และนักเรียนที่เก่งมาก
    • deliberate-practice คือ
      (https://www.mostixx.org/blog/2017/12/22/deliberate-practice)

4.Einstellung effect

  • Einstellug เป็นภาษาเยอรมัน แปลว่า MindSet
  • บางครั้งข้อมูลความรู้ที่คุณมี หรือ neural pattern ที่คุณมีและพัฒนามาแล้วนั้น อาจจะ Block ไม่ให้คุณได้ better idea หรือ better solution ออกมาได้ หรือบางครั้งมันอาจจะพาคุณหลงทางไปทำอย่างอื่นเลย
  • เช่น คุณอาจจะมีแนวคิดว่า โจทย์แนวนี้ ก็ต้องแก้ปัญหาแนวนี้ แต่แท้จริงแล้วมันอาจจะมีวิธีที่ง่ายกว่า แต่คุณคิดไม่ออก เพราะวิธีแรกที่ผุดมาในหัว มัน Block หนทางอื่นๆไปแล้ว

5.Interleaving

  • คือการสลับเรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่ใช่ว่าเริ่มเรียนอะไร ก็จะเรียนแต่เรื่องนั้นต่อเนื่องยาวๆ เช่นเมื่อคุณกำลังเรียนบทหนึ่งในวิทยาศาสตร์ คุณอาจจะเอาแต่ศึกษาแก้โจทย์เรื่องไฟฟ้าจนรู้สึกเข้าใจลึกซึ้ง แต่พอกลับมาทำโจทย์กลศาสตร์ก็อาจลืมไป หรือรู้สึกไม่คล่องเหมือนเดิมแล้ว วิธีแก้ปัญหานี้ จึงเป็นที่มาของการทำ Interleaving 
  • Interleaving คือการคอยสลับเรียนรู้เนื้อหาไปมาระหว่างบทต่างๆ เพื่อทำให้สมองของคุณต้องคอยสลับวิธีคิด หรือหาวิธีแก้ปัญหาต่างๆ อย่างไม่ซ้ำกัน การทำแบบนี้แม้จะทำให้เรียนได้ยากลำบากขึ้น แต่ก็จะช่วยให้องค์ความรู้มันลึกขึ้น และช่วยสร้าง Flexibility และ Creativity แก่สมองของคุณ
  • Interleaving นั้นสำคัญพอๆกับ Repetition มันจะทำให้คุณสร้างสรรสิ่งใหม่ๆได้ง่ายขึ้น

6.ออกกำลังกาย

  • ในอดีตเชื่อกันเมื่อเราเกิดมา เราจะมี set จำนวน neuron ที่จำกัดและเราก็จะอยู่กับ neuron เซ็ตนี้ไปตลอด โดยมันจะค่อยๆลดลงเมื่อเราแก่ตัวลงเรื่อยๆ และยิ่งหายไปเร็วมากหากเราไม่ค่อยได้ฝึกใช้สมอง
  • แต่งานวิจัยในหนูทดลองปี 2015 พบว่าใน Hippocampus จะมี neuron เกิดขึ้นได้ใหม่เมื่อหนูตัวนั้นกำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพียงแต่นิวรอนตัวใหม่นี้ก็จะตายไปหากมันไม่ได้รับการใช้งานแล้ว
  • ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า การออกกำลังกายสามารถช่วยให้neuron ที่เกิดใหม่นี้อยู่รอดได้นานขึ้น
  • การออกกำลังกายมันจึงช่วยในการเรียนรู้ของคุณได้โดยตรง

7.การฝึกฝนสมอง สามารถซ่อมแซมส่วนที่เสียหายไปได้ 

  • สมองส่วนต่างๆจะมีวัยที่พัฒนาเต็มที่(Fully maturation) ที่ต่างกัน เช่น บริเวณที่เกี่ยวกับการมองภาพลึกตื้น (Binocular depth และมองภาพให้เห็นสามมิติ ซึ่งต้องอาศัยการทำงานที่สอดคล้องกันของตาทั้งสองข้าง และสมองส่วนการมองเห็น จะพัฒนาเต็มที่ตอนอายุ 2 ปี หรือบริเวณที่เกี่ยวกับการตัดสินใจ จะโตเต็มที่ช่วงอายุวัยรุ่น หากเลยช่วงอายุเหล่านี้ไป สมองของคุณจะไม่สามารถมองเห็นภาพเป็นสามมิติได้ตลอดกาล
  • อย่างไรก็ตามนั่นเป็นแค่ความเชื่อในอดีต เข่นในทางปฏิบัติก็มีคนที่ไม่สามารถมองเห็น แต่สามารถฝึกสมองจนกลับมามองให้เห็นเป็นภาพสามมิติได้
  • ดังนั้นข้อคิดก็คือ Practice can repair และ train your brain ได้ เพียงแต่มันต้องใช้เวลานานๆมากๆ (Practice can repair, as well as train the brain. But this takes much longer, past the critical period)

8.ฝึกทำความเข้าใจด้วยการเปรียบเทียบConceptนั้น กับสิ่งต่างๆ

  • หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการจะทำให้เข้าใจ concept ได้นั้น นอกจากจะจำให้ได้ ก็คือการใช้วิธีอุปมาอุปไมย หรือ อุปลักษณ์(Metaphor)ยิ่งเทียบให้เห็นเป็นรูปธรรมมากเท่าไหร่ ยิ่งดูSillyเท่าไหร่ ยิ่งดีมากขึ้นเพราะมันจะยิ่งทำให้คุณจำอะไรๆง่ายขึ้นและจำได้นานามากขึ้น
  • ยิ่งคุณเรียนสูงและศึกษาคอนเซ็บต่าๆได้ซับซ้อนมากขึ้นเท่าไหร่ คุณก็สามารถคิด metaphor ที่เจ๋งกว่ามาแทนที่อันเก่าได้
  • Metaphor ไม่ใช่เรื่องเล่นหรือเรื่องที่ดูเป็นการใช้จินตนาการไร้สาระ อย่าลืมว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้นก็เกิดจาก Metaphor มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการคิดถึงรูปร่างโมเลกุลเป็นทรงกลม การคิดถึงรูปร่างจักรวาล การคิดถึงกระแสไฟฟ้าให้เป็นดั่งสายน้ำ เป็นต้น

9.The Value Of Teamwork

  • คนที่เป็น Stroke สมองซีกขวา จะมีภาวะหนึ่งที่เรียกว่า broad-perspective perceptual disorder of the right hemisphere  โดยพบว่าคนที่เป็นโรคนี้จะยังคง Function ได้ตามปกติ ยังมีความฉลาดที่ปกติ ยังสามารถคำนวณโจทย์เลขยากๆได้ ถ้าเขาเคยทำได้มาก่อน แต่หากเขามีความผิดพลาดในการคำนวณ แม้จะดูไม่make sense มากๆ เช่น คำนวณได้ว่าร้านขายไส้กรอก มีรายได้พันล้าน ความผิดพลาดนี้จะไม่ทำให้พวกเขาเอะใจหรืออะไรใดๆ
    • พวกเขาจะดูเหมือนไม่มี big picture , ไม่มี Common sense 
  • การศึกษพบว่าสมองซีกขวาช่วยในการมองย้อนถอยกลับมาดูภาพรวมกว้างๆ (step back and gain big picture perspective ) เพื่อให้เราดูว่าตอนนี้เดินมาถูกต้องหรือไม่
  • ดังนั้นหากคุณเป็นคนที่ทำแบบทดสอบหรือทำข้อสอบโดยไม่ทวนเลยแสดงว่าคุณกำลังทำตัวเหมือนคนที่พิการสมองซีกขวา
  • Right Hemisphere ทำหน้าที่เป็น Devil Advocate, ซึ่งจะคอยถามคำถามต่างๆ และคอยมองหาความไม่สม่ำเสมอ ในขณะที่ Left Hemisphere ทำหน้าที่เป็นตัว Focus, เป็นตัวแปลผลสารต่างๆในโลกที่เข้ามาหาเรา และจะเป็นตัว retain ไม่ให้ความหมายต่างๆนั้นแปรเปลี่ยนไป
  • หนึ่งในวิธีที่ดีในการป้องกันจุดบอดนี้ ก็คือการ brainstorm กับคนทำงานอื่นๆที่มีความสนใจอย่างยวดยิ่งในสิ่งเดียวกัน เพราะยังไงก็ตามทุกคนก็มีจุดบอดของตัวเอง กัลยาณมิตรจึงสามารถเข้ามาช่วยคุณได้

Part III : The Procrastination

  • การผัดวันประกันพุ่ง คือปฏิกิริยาตอบสนองของสมองต่อสิ่งที่เราไม่ชอบ โดนการหันไปทำอย่างอื่นที่น่าอภิรมย์กว่า ซึ่งจะให้เรามาซึ่งความสุขชั่วครู่ 
  • การติดนิสัย Procrastnation มากๆจะยิ่งทำให้คุณรับมือกับปัญหายากๆได้ลำบากขึ้นเรื่อยๆในชีวิต
Procrastination เป็นนิสัย(Habit) อย่างหนึ่ง
  • Habit จะเกิดในสิ่งที่เราทำบ่อยๆ จนเคยชิน การมีอยู่ของมันก็เพราะเป็นการช่วยประหยัดพลังงานสมองให้ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะมันเป็ฯสิ่งที่ทำประจำอยู่แล้ว
  • Habit ประกอบด้วยองค์ประกอบสี่อย่างคือ
    1. The Cue : คือตัวกระตุ้น(Trigger) ที่ทำให้คุณเข้าสู่โหมดอัตโนมัติ เช่น เห็นโจทย์ปัญหาข้อแรกหรือเห็นข้อความLineเด้งมา
      1. Cue จะนำไปสู่ Routine ซึ่ง Routineก็มีทั้งที่ดีและไม่ดี
    2. The Routine :เมื่อได้รับ Cue, คุยก็จะตอบสนองโดยอัตโนมัติ เรียกว่า routine นั่นเอง
    3. The Reward : นิสัยเกิดขึ้นและคงอยู่ได้ เพราะมันให้รางวัลสักอย่างแก่เรา ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็คือความรู้สึกพอใจ เช่น การอาบน้ำกลางคืนทำให้คุณรู้สึกสะอาด, Procrastination ก็เช่นเดียวกัน เพราะมันทำให้เรารู้สึกพึงพอใจเมื่อได้เมินหน้าหนีสิ่งที่ทำให้เราไม่เป็นสุข
      1. Reward ของ Procrastination ก็คือการได้หนีปัญหานั่นเอง
      2. ดังนั้นการหา reward ดีๆ หลังจากเราประสบความสำเร็จ ก็อาจช่วยลด procrastination ได้ 
    4. The Belief : Habit มีpower เพราะคุณเชื่อในมัน เช่น คุณเชื่อว่าคุณไม่มีทางทำงานได้จนกว่าไฟจะล้นก้น ดังนั้นต้องเริ่มจากว่า คุณต้องเชื่อว่าคุณจะเปลี่ยนhabitได้
Product vs Process
  • การเริ่มทำอะไรสักอย่างนั่นอาจทำให้คุณเป็นทุกข์ได้ วิธีการhandle อารมณ์ต่างๆนี้จึงสำคัญ คนหลายๆคนสามารถควบคุมความรู้สึกนี้ได้ แต่ถ้าคุณยังมีปัญหา อีกวิธีที่แนะนำคือการ Focus ไปที่ Process
    • Process ก็คือกระบวนการที่เกี่ยวข้องไปกับเวลาที่ผ่านไป ในขณะที่ Product คือผลของงานนั้นๆ
    • เพื่อหลีกเลี่ยง procrastination คุณไม่ควรโฟกัสไปที่ product เพราะมันมักทำให้คุณทุกข์ แต่ให้ดูที่ process เช่น หากมีการบ้าน5 ข้อ การที่คุณคิดจะทำให้เสร็จสมบูรณ์ก็คือการคิดถึง product ซึ่งทำให้คุณหลีกเลี่ยงที่จะทำมันให้เสร็จ และหลอกตัวเองว่าใกล้deadline ก็ค่อยทำ แทนที่จะเป็นเช่นนี้ ก็ให้คุณลองfocus กับ process เช่น คุณอาจจะกันเวลาสัก 25 นาทีในการเริ่มทำงาน ได้เท่าไหนก็เท่านั้น ซึ่งถ้ามองแบบนี้จะทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดน้อยกว่าและเริ่มงานได้เร็วกว่า และทำให้คุณ relax ได้มากขึ้น
วิธีเปลี่ยนนิสัย Procrastination
  • ดังที่กล่าวไปแล้วว่า Procrastination คือนิสัยอย่างนึง การเปลี่ยนนิสัยจึงต้องเปลี่ยนไปตามองค์ประกอบทั้งสี่อย่าง คือ
  1. The Cue : Cue ที่เกียวกับ procrastination มักเกี่ยวกับ Location, Time , อารมณ์ขณะนั้น ดังนั้นคุณจึงต้องจับให้ได้ว่าอะไรเป็น Cue ที่ทำให้คุณเริ่ม Procrastination เช่น อาจเป็นการทำงานในที่ๆที่มีคนพลุกพล่าน ทำงานใกล้มือถือหรือสิ่งยั่วยวนใจต่างๆ หรือแม้แต่อารมณ์ไม่ดี
  2. The Routine : เมื่อเจอ cue เราก็จะมีroutine คือการหันเหไปทำอย่างอื่นที่pain น้อยกว่า ดังนั้นหากคุณมี plan รองรับว่าจะทำงานนั้นๆอย่างไรบ้าง ก็จะช่วยให้คุณบังคับตัวเองทำงานได้ง่ายขึ้น
  3. The Reward : อย่าให้รางวัลตัวเอง หากคุณสามารถพยายามทำงานจนเสร็จ เช่น ทำงานเสร็จแล้วจะไปดู seiries การให้รางวัลเป็นส่วนที่สำคัญ เพราะมันทำให้สมองคุณอยากทำสิ่งนี้มากขึ้น (neurological cravings) ทำให้สามารถพัฒนานิสัยใหม่ๆได้
  4. The belief : เชื่อมั่นในตัวคุณ ว่าคุณสามารถเอาชนะความผัดวันประกันพรุ่งนี้การเรียนได้
Weekly/Daily list : Juggling Life and Learning
  • การเรียนรู้ของหลายๆคนจำเป็นต้องมี balanceกับภาระงานอื่นๆในชีวิตด้วย
  • วิธีที่แนะนำคือการทำ weekly list ของงานที่จำเป็นต้องทำ  และ ทำ Daily to do list ของวันถัดไปในช่วงก่อนนอน เพราะงานวิจัยพบว่า subconscious mind ของคุณก็จะช่วยคิดแก้ปัญหา วิธีทำ to do list นี้ด้วยระหว่างที่คุณกำลังนอน ทำให้คุณตื่นมาพร้อมคำตอบได้
    • นอกจากนี้การทำ list ยังเป็นการ free working memory space ของคุณ 
  • ทำ quitting time ในแต่ละวันด้วย (เช่น หลังห้าโมงเย็นต้องหยุดงานทุกอย่าง แล้วไปออกกำลังกาย) ซึ่งมันสำคัญพอๆกับ การ set working time
  • คนที่ทำงานหนัก และมีเวลาพักเพียงพอ มักจะ performance ดีกว่าคนที่เอาแต่ทำงานหนักๆอย่างเดียว
  • เอางานที่ซับซ้อนและยากที่สุด และไม่พึงประสงค์ที่สุด มาเป็นงานแรกของวัน
 สรุป
    1. การเรียนรู้ที่ดีนั้น ต้องค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นการ tackle procrastination จึงสำคัญมากๆ
    2. การรับมือ procrastination สรุปเป็นขั้นตอนดังนี้
      • Keep a planner journal
      • Commit yourself to certain routine and task each day : complete daily to do list ก่อนนอน , จัดเรียงงานให้เป็น Series สั้นๆ และอย่าลืมให้รางวัลตัวเอง
      • Deliberately Delay rewards until you finish the task
      • Watch for procrastination cue
      • Gain trust in your new system : trust your system enough so that when it comes time to relax, you actually relax without feelings of guilt or worry.
      • Have backup plans for when you still procrastinate

Part IV : The Memory Techniques

Visual Memorizer
  • เดิมที่นั้นมนุษย์ไม่ได้มีวิวัฒนาการมาเพื่อจดจำชื่อหรือตัวเลขต่างๆ แต่เพื่อจดจำภาพ จดจำว่าแหล่งอาหารอยู่ไหน บริเวณไหนไม่ปลอดภัย มนุษย์จึงมีพัฒนาการ ด้าน Spatial and visual sense อย่างดีเยี่ยม สังเกตเวลาคุณไปเจอสถานที่ใหม่ๆ คุณมักจะจำรายละเอียดเล็กๆน้อยของสถานที่นั้นๆได้ดี
    • ดังนั้นเวลาจำ พยายามเอาsense ทุกๆอย่างมาใช้ในการช่วยจำ เช่น การดู ฟัง สัมผัส ดมกลิ่น ได้ยิน
    • มนุษย์พัฒนาความจำประเภท “where things are” และ “how they look” memory system ได้ดีกว่า
  • ดังนั้นสิ่งที่ช่วยในการสร้างความทรงจำระยะยาวที่ดีอันหนึ่งคือจำเป็นรูป
Spaced Repetition
  • ดังที่เคยกล่าวไปว่า การทำ Space repetition (แบ่งจำข้อมูลโดยทิ้งช่วงเวลา เช่น day 0,3,7,14..) จะช่วยให้คุณสามารถจดจำสิ่งต่างๆได้ดีเยี่ยม วิธีทำ Spaced repetition นั้นก็มีหลายแบบ เช่น
  1. Reread หนังสือหรือเนื้อนั้นๆที่คุณอ่าน โดยทิ้งช่วงระยะห่าง
  2. พยายาม Recall ข้อมูลนั้นๆ โดยทิ้งช่วงระยะห่าง
  3. Flashcard ก็ช่วยได้ดี อาจใช้ Software ช่วย เช่น Anki Flashcard
Long Term Memory
  • มีรายงานเคสผู่วยที่ถูกผ่าตัดส่วน Hippocampus ออกไปเพื่อรักษาโรคลมชัก
  • หลังจากการผ่าตัดสำเร็จไปด้วยดี เขากับกลายเป็นคนที่ไม่สามารถจำอะไรใหม่ๆได้เลย
  • ที่เป็นเช่นนี้เพราะ Hippocampus เป็นส่วนที่นำข้อมูลใหม่ๆลงไปใน cortex ซึ่งมันกินระยะเวลาหลายๆปี (Memory consolidation) กว่าข้อมูลนั้นจะฝังติดแน่น ดังนั้นเขาจะจำเรื่องราวสมัยเด็กๆได้ แต่จะไม่สามารถจำเรื่องที่เกิดประมาณ 2-3 ปีก่อนเขาผ่าตัด หรือหลังผ่าตัดได้เลย
Memory Consolidation
  • ความจำนั้นเป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ
  • เมื่อคุณมีความจำบางอย่าง มันจะถูกเก็บใน long term memory ในตอนแรกด้วย process ชื่อ consolidation แต่เมื่อคุณนึกถึงมันซ้ำ ความจำในระยะยาวนี้ก็จะถูกนำกลับมาอีกครั้ง(Reactivation)
    • ความจำที่เอามาดูใหม่นี้ ก็สามารถกลับไปยัง long term memory ได้ ด้วย context อันใหม่ และมันสามารถไปSave ทับ old memory ได้ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า Reconsolidation
    • ทั้ง consolidation และ reconsolidation นี้เกิดในระหว่างการนอนหลับ
  • ดังนั้นการแบ่งเนื้อหาเรียนออกเป็นระยะเวลายาวๆ ค่อยๆเรียน จะมีประโยชน์กว่า เมื่อเทียบกับการอัดเนื้อหาในเวลาสั้นๆ (cramming)
    • หากคุณจะเรียนอะไรหนึ่งชม มันจะจำได้ดีกว่าถ้าคุณแบ่งซอยย่อนมันครั้งละ 10 นาที ต่อหนึ่งเดือน ดีกว่า 1 ชม จบได้ในวันเดียว
    • เช่นเดียวกัน ถ้าคุณรอ cram ทุกอย่างก่อนวันสอบหนึ่งวัน คุณก็จะลืมมันอย่างรวดเร็ว
Meaningful Groups and Memory palace
    1. Meaningful groups
      • เวลาจำตัวเลข อาจเอามันมาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญในชีวิตคุณ 
      • เวลาจำ Item ในกลุ่มเดียวกัน อาจใช้Mnemonics โดยการเอาสิ่งต่างๆที่ต้องจำในกลุ่มเดียวกัน มาเชื่อมโยงกับเหตุการ สิ่งของบางอย่าง เพื่อให้จำได้ง่ายขึ้น เช่น เอาตัวอักษรตัวแรกของรายการต่างๆ มาเรียงกัน
    2. Memory Palace
      • คือการจินตนาการถึงสถานที่ที่คุณคุ้นเคย เช่น แผนผังห้องนั่งเล่นที่บ้านแล้วก็ให้ทำ visual notepad คือใส่รูปต่างๆที่ต้องการจำลงไปที่มุมต่างๆของบ้าน
      • วิธีนี้ใช้ได้ดีในการจำสิ่งที่ไม่เกี่ยวกัน เช่น list รายการของที่ต้องไปซื้อ เช่น ถ้าคุฯจะซื้อนม น้ำตาล ขนมปัง ก็ให้จินตนาการว่ามีขวดนมขนาดใหญ่ตั้งบนโซฟา ขนมปังอยู่เหนือประตู และไข่ไก่แตกอยู่ที่พื้น
      • ในช่วงแรกๆที่คุณใช้วิธีนี้ คุณจะจำได้ช้าและอาจดูเหมือนไม่มีประสิทธิภาพ แต่ถ้าคุณฝึกใช้มันบ่อยๆ ในบางคนสามารถใช้ technique นี้ในการจดจำสิ่งของได้ถึง 40-50 อย่าง ในระยะเวลารวดเร็ว

Part V : The Test Taking Tip

Test Checklist
  • Checklist อันนี้พัฒนาโดยนักการศึกษาในตำนาน Dr Richard Felder แม้ว่ามันจะออกแบบมาสำหรับการสอบวิศวกรรม แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้ได้กับวิชาต่างๆ 
  • หากคุณมีคำถามว่า “ฉันควรจะเตรียมตัวสำหรับการสอบอย่างไร ” ให้เช็คว่าคุณได้ทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้แต่ละข้อนั้น “ใช่” หรือไม่
  1. คุณได้ใช้ความพยายามอย่างจริงจังเพื่อเข้าใจเนื้อหาหรือไม่? แค่การมองหาตัวอย่างแบบฝึกหัดที่มีเฉลยไม่ถือว่าได้พยายามแล้ว
  2. คุณได้ร่วมทำการบ้านกับเพื่อนร่วมชั้นหรืออย่างน้อยก็ได้ตรวจคำตอบที่ได้กับคนอื่นหรือไม่?
  3. คุณได้พยายามดูเค้าโครง/สรุปคำตอบของการบ้านก่อนจะอ่านหนังสือกับเพื่อนร่วมชั้นหรือไม่?
  4. คุณได้มีส่วนร่วมในการทำการบ้านด้วยการเสนอไอเดียและถามคำถามหรือไม่?
  5. คุณได้ปรึกษาอาจารย์หรือผู้ช่วยอาจารย์เมื่อมีปัญหาสงสัยหรือไม่?
  6. คุณเข้าใจคำตอบของการบ้านทุกข้อเมื่อคุณส่งการบ้านนั้นหรือไม่?
  7. ระหว่างอยู่ในชั้นเรียน คุณได้ถามคำอธิบายคำตอบของการบ้านข้อที่คุณไม่เข้าใจหรือไม่?
  8. หากคุณมีคู่มือการเรียนการสอน คุณได้ตั้งใจอ่านคู่มือนั้นก่อนการสอบ และมั่นใจว่า สามารถทำได้จุดประสงคของการเรียนครบทุกข้อแล้วหรือไม่?
  9. คุณได้พยายามสรุปและหาแนวการแก้ปัญหาแบบคร่าวๆอย่างรวดเร็ว โดยไม่เสียเวลา ไปกับการคิดคำนวณรายละเอียดย่อยๆหรือไม่?
  10. คุณได้ทบทวนคู่มือการเรียนการสอนและคำถามกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน และทดสอบกันและกันหรือไม่?
  11. หากมีการจัดติวก่อนการสอบคุณได้เข้าร่วมและถามคำถาม เกี่ยวกับสิ่งที่คุณไม่มั่นใจหรือไม่?
  12. ข้อสุดท้าย คุณได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ในคืนวันก่อนสอบหรือไม่หากคำตอบสำหรับข้อสุดท้ายนี้คือ ไม่ คำตอบสำหรับคำถามข้ออื่นๆอาจไม่สำคัญเลย
Hard Start – Jump to Easy Technique
  • Classic way ที่เราถูกสอนมาคือเวลาทำข้อสอบ ให้ทำข้อง่ายๆก่อน เพราะจะใช้เวลาน้อยกว่า ทำให้เรามีเวลาเหลือไปสู้กับข้อยากๆได้ต่อ
  • แต่อย่างที่รู้กันว่าการทำข้อสอบนั้นก็คือการใช้ focus mode , ซึ่งในปัญหายากๆก็อาจจำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรมาก ต้องการการเชื่อมโยงต่างๆมากกว่าปกติ ซึ่งเป็นหน้าที่ของ diffuse mode
  • ดังนั้นวิธีที่แนะนำคือ เมื่อได้ข้อสอบมาแล้ว ให้ scan ดูคร่าวๆ ว่าข้อสอบเกี่ยวกับอะไร แล้วให้tackle ข้อยากๆก่อน แต่เมื่อคุณลองอ่านโจทย์ข้อยากๆแล้ว ก็ให้ใช้วเวลาคิดเต็มที่ หากคิดไม่ออกภายใน 1-2 นาที ก็รีบดึงตัวเองออกมา แล้วไปทำข้อง่ายๆก่อน แล้วค่อยกลับมาทำข้อยากๆนี้ใหม่ ถ้ายังไม่ได้ ก็กลับไปทำข้อง่ายก่อน ทำแบบนี้สลับไปสลับมา
    1. วิธีนี้จะทำให้ระหว่างที่เรากำลังคิดข้อง่ายๆ ตัว diffuse mode จะทำหน้าที่ in background ในการหาความเชื่อมโยง หาวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆให้กับโจทย์ข้อยากนั้นไปด้วย
    2. วิธีนี้ยังช่วยป้องกัน Einstellung หรือก็คือการติดกับโจทย์ข้อนั้น เพราะดันไปคิดวิธีผิดตั้งแต่ต้นนั่นเอง
  • ที่เน้นย้ำคือ วิธีนี้ คุณต้องมีวินัยพอ ที่จะดึงตัวเองออกมาให้ได้ หากติดกับโจทย์ข้อยากๆนาน 1-2 นาทีขึ้นไป
Stress
  • เมื่อคุณมีความเครียดร่างกายจะหลั่งสาร cortisol ทำให้คุณมีเหงื่อออกมาก ใจสั่น รู้สึกหวิว
  • ความเครียดจากการสอบหรือเห็นข้อสอบเป็นเรื่องปกติ แต่แทนทีคุณจะกลัว ให้คุณเปลี่ยนความคิดว่าข้อสอบนี้น่าตื่นเต้น และฉันจะทำมันให้ได้
  • อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยได้ คือการหายใจเข้าออกลึกๆ เพ่งสมาธิไปที่ลมหายใจของคุณ
  • หนึ่งในความเครียดจากการสอบ คือการกลัวจะสอบไม่ได้เกรดที่ดีพอไปเรียนต่ออาชีพที่ต้องการ ก็ให้คุณมี plan B มีคำตอบในใจว่าหากไม่ได้อาชีพนี้ จะทำอะไรเป็นอาชีพสำรอง ซึ่งจะทำให้คุณช่วยผ่อนคลายความเครียดไปได้ ทำให้การสอบนั้นดีขึ้น
Other Tips
  • 1 วันก่อนสอบ ให้มากสุดคือแค่อ่าน material เร็วๆ เพื่อฟื้นฟูความจำ คุณไม่ควร cramming ใดๆในวันก่อนสอบ ส่วนหนึ่งเพื่อให้ mental muscle พักผ่อนเต็มที่ ลิย่าลืม good night sleep มิฉะนั้นทุกอย่างที่เตรียมตัวมาก็จะสูญเปล่า
  • Check คำตอบจากหน้าหลังมาข้างหน้า อาจทำให้คุณได้มุมมองการทำข้อสอบใหม่ๆได้
  • เวลาตอบคำถาม MCQ ให้ลองปิดช้อยคำตอบ แล้ว Recall คำตอบของคุณให้ได้ก่อน

Share

Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter

บทความล่าสุด

Solon's Warning คำเตือนของ โซลอน
Perspective

คำเตือนของโซลอน – Solon’s Warning

เมื่อพระเจ้าครีซัสผู้มั่งคั่งและทรงอำนาจที่สุดแห่งยุคตรัสถาม โซลอน ว่าเคยพบใครที่มีความสุขมากกว่าพระองค์หรือไม่ เขากลับตอบชื่อสามัญชนที่เสียชีวิตแล้วกลับมา!

บทความอื่นๆ

บิล เกตส์ วิธีอ่านหนังสือ
Productivity

บิล เกตส์ มีวิธีการอ่านหนังสืออย่างไร

บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Microsoft และ บลอกเกอร์ที่รวยที่สุดในโลก มีวิธีการอ่านหนังสืออย่างไร?ทำไมจึงอ่านได้ปีละ 50 เล่ม? มาร่วมกันหาคำตอบครับ

COVID-19 and Hope
Perspective

อย่าหวาดกลัวโรคระบาด…จนขาดสติ

ในอดีต โรคระบาดเคยพรากชีวิตมนุษย์โลกไปจนเกือบสิ้น แต่ในปัจจุบันนั้น เราไม่ควรหวาดกลัวมันจนเกินไป เพราะมนุษย์ได้ “เอาชนะ” ภัยพิบัตินี้ มานับครั้งไม่ถ้วน

อยู่เป็น
Perspective

ในโลกของคนอยู่เป็น

ในโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราจะอยู่รอดได้อย่างไร? เราจะอยู่ให้เป็นได้อย่างไร? ในโลกทีปกครองไปด้วยเหล่าคนที่”อยู่เป็น”